Main Menu
 Home หน้าแรก
 login / สมาชิก
 BuyerBook
 รายการ TV
  คอร์ด / เนื้อเพลง
  วีดีโอ คลิป
  Webboard
  Classifieds
  ข่าวสารดนตรี
  Review & ทดสอบ
  งานคอนเสิร์ต
  บทความดนตรี
  Cools Links
  Artist Gear
 
  About Us

11199


 Interview :     สัมภาษณ์ Hucky Eichelmann    10/3/2007    Acid Head

สวัสดีอีกครั้งครับ วันนี้ Guitarthai.com ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้สัมภาษณ์มือกีต้าร์ที่น่าจะเรียกว่าเป็นฑูตทางวัฒนธรรมทางดนตรีของประเทศไทย ในการที่อัญเชิญบทเพลงไทยร่วมถึงบทเพลงพระราชนิพนธ์ของในหลวงออกเผยแพร่ต่อชาวโลกให้รับรู้ถึงวัฒนธรรมทางดนตรีไทยที่มีคุณค่าและเสน่ห์  ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นชาวต่างชาติ แต่ผมเชื่อได้เลยว่าหัวใจของเขามีความเป็นไทยอยู่เต็มร้อยแน่นอน วันนี้เราจะมาพูดคุยถึงไอเดียแล้วแนวความคิดทางดนตรีที่มีมุมมองที่แตกต่างอย่างแน่นอน กับมือกีต้าร์คนนี้ “ Hucky Eichelmann ”

ก่อนเข้าบทสัมภาษณ์เรามาดู Clip ตัวอย่าง Concert กันก่อนนะครับ Click ที่ รูปข้างล่างนี้

GT : อยากให้ช่วยเล่าถึงจุดเริ่มต้นเล่นกีต้าร์ของตัวเองครับ ว่าเริ่มต้นอย่างไรครับ ?
Hucky : เริ่มต้นมานานมาแล้ว (หัวเราะ) อืม..ตอนสมัยเด็กๆ คุณพ่อมีกีต้าร์อยู่ตัวนึง เขาจะเอาไปด้วย เอาไว้เดินทางกับเพื่อนๆ แต่ผมก็ชอบกีต้าร์นะ แต่พ่อไม่อนุญาตให้ใครจับเลย จะให้ได้เฉพาะเพื่อนๆของเขา แต่..ในครอบครัวจะมีธรรมเนียมนึงคือทุกคนจะเล่น ทรัมเป็ต,ทูบาหรือพวกบลาส (Brass) อยู่แล้ว  เราอยู่แถบต่างจังหวัด ซึ่งก็จะมีวงบลาสอยู่แล้ว  และตอนที่ผมอายุ 7 ขวบก็เริ่มต้นเรียนทรัมเป็ต ญาติก็เล่นอยู่ในวงออเคสตร้า แล้วทุกฮอลิเดย์ เขาก็จะให้ไปสอบพิเศษที่ สวิตเซอร์แลนด์ ก็ไปเที่ยวด้วยแล้วเราก็ไปสอบดนตรี แต่ตอนเด็กๆเนี่ยะๆไม่มีใครชอบนะ ก็มีโอกาสได้เล่นกับวงออเคสตร้าหรือวงบลาส (Brass) บ่อยๆตั้งแต่เด็กแล้ว อีกอย่างคือ เวลาที่ต้องเล่นทรัมเป็ตเนี่ยะ มันเล่นคนเดียวไม่ได้ ต้องมีคนอื่นช่วยตลอดเวลา อย่างน้อยๆต้องมีเปียโน หรือเล่นกับวงเล็กๆ

GT : ต้องเล่นกับเครื่องที่เป็นฮาร์โมนี่ ?
Hucky : ใช่!! หรือไม่งั้นต้องมีจังหวะด้วย  แล้วอีกทีคือตอนอายุ 12 ก็เล่นกับเพื่อน เขาก็มีขวดในมือ ก็เล่นต่อยกัน เขาก็ใช้ขวดตีมา ก็โดนฟันเรา ฟันหักแค่นั้นมันก็จบแล้ว ไม่สามารถเล่นทรัมเป็ตต่อได้ มันเล่นเป็นอาชีพไม่ได้แน่ นอน เพราะฟันเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆกับการเล่นเครื่องเป่า แต่ช่วงนั้นก็มีความคิดที่อยากเรียนกีต้าร์ด้วยนะ แต่หาคนสอนยากมาก

GT : ที่เยอรมัน หาคนสอนยาก ?
Hucky : ใช่ ก็เริ่มต้นเล่นกีต้าร์กับเพื่อน เป็นวงร็อก  ก็เริ่มต้นไปซื้อกีต้าร์กับแอมป์กับพ่อ (หัวเราะ) ซื้อหมดเลย แล้วก็เริ่มซ้อม  หลังจากนั้นตำรวจก็มาที่บ้านทุกวันเลย (หัวเราะ) เพราะกลางคืนที่นั่นเขาห้ามทำเสียงดัง  ตอนหลังพ่อก็เลยยอมให้ใช้กีต้าร์ตัวที่พ่อหวง (หัวเราะ) ก็เริ่มไปเรียนกีต้าร์นะ แต่ว่าเขาก็ยังสอนไม่มีระบบเท่าไหร่ แต่ผมรู้สึกชอบมากๆเลยนะ ติดใจมาก ไม่อยากเปลี่ยนไปเล่นทรัมเป็ตหรืออะไรแล้ว แล้วเราก็ไปหาครูสอนที่ในเมืองนะ เขาเป็นอาจารย์ที่มหาลัย ก็เล่นกับเขาอยู่หนึ่งเดือน เขาก็มี workshop ที่เขาต้องเล่น  เขาก็ให้ผมขึ้นไปเล่นในคอนเสิร์ตเขาด้วย ก็ตื่นเต้นมากเลยนะ (หัวเราะ) แต่ก็เล่นได้นะ ทุกคนก็งงกันว่าทำไมเล่นได้เพราะเล่นแค่ 4 อาทิตย์เอง เราก็คิดนะว่าอาจารย์คนนี้เก่ง เขาสอนแค่แป๊บเดียวเอง ก็เรียนกับเขามาประมาณ 1 ปี  คือระบบการเรียนในเยอรมันเนี่ยะจะไม่เหมือนในสหรัฐ ตอนนั้นต้องตัดสินใจแล้วว่า จะต้องไปทางไหน คือจะเป็นนักดนตรี หรือจะเป็นอย่างที่บ้านต้องการ คือเป็นพวก government

GT : รับข้าราชการ ?
Hucky : ใช่ !! ที่บ้านเขาอยากให้ผมเป็นพวกรับข้าราชการ  เราก็บอกเลยว่า ไม่มีทาง ไม่มีทาง (หัวเราะ) คือถ้าไม่ได้เป็นนักดนตรีก็ต้องเป็นพวก car  racing

GT : เป็นนักแข่งรถ ?
Hucky : ใช่ๆ (หัวเราะ)แต่ว่าพวก car  racing น่าจะแย่กว่า ก็เลยเป็นนักดนตรีเนี่ยะแหละ (หัวเราะ) ก็เลยเรียนต่อ แต่ในมหาลัยเนี่ยะเขารับน้อยมาก อาจจะรับเพียงแค่คนเดียวหรือสองคนเท่านั้น  แต่คนสอบเข้าเป็นร้อยเลย  โอเค!! วันนั้นก็ไปสมัคร แต่ก็มีคนสมัคร 44 คนนะ ก็คิดว่าไม่ต้องคิดมากเลย ตอนเล่น คิดอย่างเดียวเล่นเสร็จแล้วจะกลับบ้าน เราก็เล่นแล้วก็นั่งรอประมาณชั่วโมงนึง  เขาก็บอกเลยว่า ให้มาอาทิตย์หน้า  เราก็นั่งงงเลยนะ อะไรให้มาอาทิตย์หน้า เขาก็บอกมาว่าสอบได้แล้ว ยินดีด้วย แล้วหลังจากนั้นเราก็ไปเรียนที่มหาลัยสตุดการ์ด  ซึ่งครูคนแรกที่สอนเนี่ยะก็ยังไม่มีอะไรมาก แต่ครูที่สอนคนที่สองเนี่ยะเขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากๆเลย ชื่อ Mario Sicca เป็นชาวอิตาลี เขาเล่นเก่งมาก และเป็นครูที่มีชื่อเสียงดังมาก สอนเก่น ทุกคนอยากเรียนกับเขามาก และตอนที่สอบครั้งแรกเนี่ยะ เขาเป็นกรรมการด้วย ผมตกใจมากเลยนะ  เพราะรู้จักเขาอยู่แล้ว  แล้วเกร็งมากเลยตอนที่เล่น (หัวเราะ) แต่เขาก็เลือกผมให้ไปเรียนที่คลาสของเขาในอาทิตย์หน้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมยินดีมากๆเลยที่ได้เรียนกับเขา จริงๆตอนนั้นเคยคิดนะว่าจะเรียนกีต้าร์ต่อดีไหม เพราะครูเยอรมันที่สอนเนี่ยะเขาก็ดุมากๆ  คือเขาไม่มีความยืดหยุ่นเท่าไหร่ เขาดุมากๆ เราก็ไม่ค่อยชอบ เพราะมันไม่สนุก แต่พอมาเรียนกับ Mario เขาไม่ซีเรียสเลย ชั่วโมงแรกที่เรียน เขาไม่สอนเลยนะ  เขาพาไปบ้าน แล้วก็พาไปสอนให้ทำสปาเก็ตตี้ เขาบอกว่าคนที่ทำสปาเก็ตตี้ไม่ได้ ก็ไม่สามารถเล่นกีต้าร์ได้เช่นกัน (หัวเราะ) ก็ที่เขาสอนแบบนี้เราก็ชอบเลยนะ พอเรียนไป 4 เทอมเนี่ยะเราก็ต้องตัดสินใจว่าจะเป็นศิลปินหรือว่าจะไปเป็นครูสอน เขาก็บอกว่าให้เราไปเป็นศิลปิน ก็เรียนต่ออีก แล้วจบมาเป็น master degree ที่โน่น ตอนที่เรียนเนี่ยะ ก็ได้เล่นกับเพื่อนๆด้วยทั้ง duet ,trio แล้วก็เล่นกับวงออเคสตร้าด้วย แล้วก็เริ่มมีการเล่นคอนเสิร์ตแถบยุโรปเริ่มจากที่เยอรมันก่อนแล้วก็สวิตเซอร์แลนด์ ,ฝรั่งเศษแล้วก็ฮอลแลนด์ ,ฮังการีก็ไปนะ แล้วตอนเทอมสุดท้ายเนี่ยะผมก็มีโอกาสไปที่ฟิลิปปินส์ ไปหาหมอที่ตรวจเกี่ยวกับมือ  แล้วช่วงนั้นอยู่ที่มนิลาก็ได้ไปร้านกีต้าร์ร้านหนึ่ง ซึ่งเขามีกีต้าร์ 8 สายก็รู้สึกแปลกใจมาก อยากลองเล่นดู ก็ตอนนั้นที่ลองกีต้าร์ตัวนี้ พอนี้มีคนนึงเขาเป็นน้องชายของประธาน Philippine Guitar Society  เขาก็ดูผม แล้วเขาบอกว่าเดี๋ยวเขามานะ แป๊ปเดียว เขาก็ล็อกประตูร้านเลย (หัวเราะ) ประมาณครึ่งชั่วโมงได้ แล้วเขาก็มากับพี่ชาย  เขาก็ถามผมเลยว่าจะมาเล่นคอนเสิร์ตที่นี่ไหม ผมก็ตอบว่าแน่นอน แต่ต้องกลับไปเยอรมันก่อน เพราะต้องไปสอบ final ก่อน  ทำ master degree ก่อน แล้วผมก็กลับมาเล่นที่นี่ ก็จัดเป็นคอนเสิร์ต แล้วผมเองก็เป็นคนชอบความเป็นเอเชียนะ ชอบมากๆเลย เคยมาอยู่ที่กรุงเทพด้วย แล้วก็ได้ยิน ได้ฟังเสียงดนตรีแปลกๆที่เราไม่เคยเล่นในแถบยุโรปมาก่อน ทุกอย่างมันใหม่มากๆ ตอนที่อยู่ยุโรปก็ได้เล่นเพลง contemporary แต่มันก็เป็นดนตรีที่แข็งมาก ไม่มีอิสระเลย ผมชอบมากกว่าเพลงคลาสสิค แต่ก็ยังไม่ใช่อย่างที่เราชอบจริงๆ แล้วก็ชอบพวก pentatonic สเกล เราก็รู้สึกว่ามาอยู่ที่นี่ดีกว่า  แล้วตำแหน่งแรกที่ทำงานที่เขาให้มาที่ University of Philippine คือ exchange professor
 
GT : เป็นอาจารย์แลกเปลี่ยน  ?
Hucky : ใช่ ผมก็ไปอยู่ที่นั่น หนึ่งปีกว่าๆ แล้วประธานของมหาลัยเขาก็เป็นเพื่อนกับคุณดณู ฮันตระกูล ซึ่งคุณดนูก็ติดต่อมา อยากให้ผมมาเล่นที่เมืองไทย ก็ได้มาเล่นที่หอศิลป์ พีระศรี ซึ่งปัจจุบันก็ไม่มีแล้ว (หัวเราะ) ช่วงนั้นมีแค่สองที่ ที่เล่นได้ก็คือ AUA และ หอศิลป์ พีระศรี แล้วก็วิทยุก็ไม่มีเพลงฝรั่งไม่มีเพลงสากล มีแต่เพลงไทยลูกทุ่งเยอะมาก ในช่วงนั้น เพลงคลาสสิคเองก็ไม่ค่อยมี แล้วคอนเสิรต์นั้นเราก็เล่นเพลงของ Bach ทุกคนตบมือใหญ่เลยนะ (หัวเราะ ) แต่เรารู้สึกอย่างนึงคือเขาอาจจะไม่ค่อยเข้าใจ เพลงที่เราเล่น  แต่ก็ไม่รู้ทำยังไงดี  (หัวเราะ) เพราะยังไม่มีใครเล่น

GT : ในยุคนั้นในเมืองไทย ?
Hucky : ใช่ น้อยมากๆ เราก็กลับมานั่งคิดนะ ว่าจะทำยังไงดี เพราะเล่นเพลงอย่างนี้แล้วเขาอาจจะยังไม่เข้าใจ มันเหมือนกับการเล่นคนละภาษา จำได้ครั้งนึงเราเป็นนักเรียน แล้วเราก็ไปกินข้าวที่ร้านอิตาลีทุกวันเลย แล้วเขาก็มีลูก ยังเป็นเด็กๆเลยนะ เขาก็เล่นกัน แต่เด็กอิตาลีเนี่ยะ เวลาตอนที่เขาพูดเนี่ยะมันจะดูเหมือนร้องเลย ซึ่งผมชอบมากๆเลยเสียงของเด็ก แต่ฟังไม่รู้เรื่อง  ก็คิดว่าสถานะการณ์นี้น่าจะเหมือนกัน เราชอบเสียงแต่ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร ถ้าเรารู้ว่าเขาพูดอะไรมันก็น่าจะดีกว่า  ที่นี้ก็นั่งคิดว่ามันต้องทำยังไง แล้วช่วงนั้นทำงานกับพี่ เขตอรัญ ที่นี้พี่เขตก็บอกว่า น่าจะทำเพลงพระราชนิพนธ์นะ เพราะว่าทุกคนในเมืองไทยต่างก็คุ้นเคยกับทุกโน๊ตของในหลวง ก็ลองคุยดุกับหลายๆคน ซึ่งเขาก็บอกว่า น่าจะทำนะเพลงพระราชนิพนธ์กับกีต้าร์ อย่างนึงคือกีต้าร์คลาสสิกเสียงมันหวาน แล้วเพลงของในหลวงก็เป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกหวานด้วย 

GT : ยุคนั้นเพลงพระราชนิพนธ์ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงสไตล์ big band ซะส่วนใหญ่ จะไม่มีเพลงคลาสสิกเลย
Hucky :ใช่ๆ ยุคนั้นจะมีเพียงแค่ big band ก็เริ่มต้นคุยกับพี่เขต แล้วก็มีผู้ช่วยเรียบเรียงอีก 2 คน ทุกเพลงเป็นเพลงบรรเลงโดยกีต้าร์ ช่วงนั้นก็อัดกับเครื่อง 4 แทร็ค เป็นเครื่องที่ใหม่ที่สุดเลยนะในกรุงเทพ

GT : Tascam
Hucky : ใช่ๆ !! Tascam ตอนนั้นทำก็สนุกมากเลยนะ  แล้วก็ตกใจมากเลยนะตอนที่อัลบั้มชุดนี้วางขาย เพราะมันขายได้เยอะมากๆ  และวันนี้ทุกคนได้รู้จักเพลงและเสียงของกีต้าร์คลาสสิก

GT : ทุกคนคุ้นกับเพลงพวกนี้อยู่แล้ว
Hucky : ใช่ๆ ทุกคนรู้จักเพลง ไม่ต้องโปรโมทเพลง

GT : ตอนนั้นมีความลำบากใจหรือเปล่าครับ ที่ต้องนำเพลงพระราชนิพนธ์มาเรียบเรียงใหม่ ?
Hucky : ไม่ลำบากใจเลย และไม่ได้กลัวเลยว่าจะออกมาไม่ดี เพราะคนที่เขาเรียบเรียงเนี่ยะเก่งมาก อย่างเพลงสายฝนที่เขาทำออกมาให้เล่นเป็น tremolo มันให้ความรู้สึกเหมือนฝนกำลังตกลงมา และนั่นเป็นเพลงแกที่เขาเรียบเรียง แล้วเป็นเพลงที่ดีมากๆ จริงๆ เพลงคลาสสิกทั่วไปมันมีหลายเพลง ทุกคนเล่น ทั่วโลกเล่น แต่มันก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่  ผมคิดว่าเพลงของในหลวงเนี่ยะสำคัญกว่าเยอะเลยนะครับ ดีกว่าเยอะมาก มากกว่าครึ่งหนึ่งของเพลงที่มีอยู่เลย  แล้วมีครั้งนึงที่ผมต้องไปแสดงในรายการนึง ซึ่งเป็นเหมือนเป็นการเล่นดนตรีเพื่อ culture exchange

GT : เป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน
Hucky : ใช่ เป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน แล้วเจาก็ให้ไปแอฟริกา ,ออสเตเลีย ,ไปแถบเอเชีย ไปอเมริกาใต้

GT : จุดนี้ด้วยที่ทำให้คุณ Hucky เป็นคนที่ชอบเวิล์ลมิวสิค
Hucky : ใช่ แล้วช่วงนั้นที่กลับไปที่เยอรมันเพื่อไปแสดง ก็เป็นช่วงที่ผมทำเพลงพระราชนิพนธ์เสร็จ ผมได้ร่วมงานกับคีตกวีไทยหลายๆท่านเลย เช่น อ.บรู๊ซ (หัวเราะ) เขาไม่ใช่คนไทย แต่เป็นไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วก็อ.ดนู ฮันตระกูล ,พี่นพ โสตธิพันธ์ ก็ให้ท่านเหล่านี้แต่งเพลงให้ แต่แบบ เป็นต้นฉบับเลยนะ แล้วทุกคนชอบเลยนะ อย่างเพลง กัมก๊า กัมก๊า ผมก็ยังได้เอาเพลงนี้ไปแสดงที่เยอรมันเลยนะ ทุกคนที่นั่นก็คิดว่า ไอ้นี่มันบ้าหรือเปล่า (หัวเราะ) มันเล่นเพลงอะไร ไปเรียนกีต้าร์คลาสสิคมาแต่กลับมาเล่นอะไรไม่รู้ แต่ทุกคนสงสัยอยู่อย่างนึง เพราะผมเล่นเพลงของในหลวง ทุกคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า เมื่อ 200 ปีที่แล้วเนี่ยะ ธรรมเนียมที่เยอรมัน คือ ฟ้าชาย ฟ้าหญิงและในหลวงทุกพระองค์ ต้องเล่นดนตรีได้ ต้องแต่งเพลงได้ อาจจะเป็นเพลงง่ายๆ แต่ต้องทำได้ แต่ตอนนี้เราไม่มีวัฒนธรรมอย่างนั้นแล้ว มันหายไป แต่ขณะเดียวกันมีในหลวงท่านเดียวในโลก ที่ยังแต่งเพลงและยังเล่นดนตรีด้วย แล้วท่านยังเก่งด้วย ผมคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยนะ ที่เราทุกคนควรจะภูมิใจมาก เพราะไม่มีแล้วนะ  ผมภูมิใจมากเลยที่มีโอกาสได้เล่นเพลงพระราชนิพนธ์ให้กับประเทศอื่นๆที่ยังไม่รู้ว่าประเทศนี้ยังมีในหลวงแต่งเพลงอยู่เหรอ (หัวเราะ) จนแบบว่าเล่นเสร็จทุกๆคนต่างก็เดินเข้ามาขอโน๊ตเพลงเลยนะ (หัวเราะ) แต่ว่าช่วงนั้นเราไม่ได้รับการอนุญาต ก็เลยต้องบอกเขาว่าไม่ได้ แต่หลังจากนั้นก็มีความคิดว่าจะทำหนังสือด้วยนะ ที่มีโน๊ตของในหลวงให้ จะได้ให้นักกีต้าร์ทั่วโลกได้มีโอกาสได้เล่นกัน แล้วเราก็ได้เตรียมชุด candlelight blues แล้วเราก็ได้รับอนุญาตให้ทำชุดใหม่ ที่ซาวด์ดีกว่าการอัดจาก Tascam 4 แทร็ค ครั้งนี้เราบินไปอัดที่สิงคโปร์เลย แล้วเราก็ใช้บริษัทที่จัดจำหน่ายส่งไปทั่วโลก

GT : ชื่อบริษัทคือ
Hucky : Doblinger เขาช่วยจัดจำหน่ายเพลงของในหลวงไปทั่วโลก ขณะที่เราทำอัลบั้ม candlelight blues และ sweet word เรามีจุดประสงค์ คือ หนึ่ง เราจะแจกซีดีและหนังสือโน๊ตให้กับโรงเรียนเกือบทุกโรงเรียน

GT : แจกในโรงเรียนในประเทศไทย
Hucky : ใช่ๆ 6000 กว่าที่แล้วก็มหาลัยด้วย  เราอยากให้เด็กๆมีโอกาสได้เล่นเพลงของพระองค์ท่าน  สองคือ อยากให้นักดนตรีทั่วโลกได้มีโอกาสเล่นเพลงของในหลวงด้วย แต่ก็มีนะที่ยุโรปเขาแนะนำเพลงพระราชนิพนธ์ด้วย และในการแข่งขันกีต้าร์ทั่วโลก ก็มีเพลงพระราชนิพนธ์เขาไปรวมอยู่ด้วย ก็เป็นเรื่องที่ดี ทุกคนชอบเพลงสายฝนมาก

GT : ที่นี้ตอนที่เริ่มเรียนกีต้าร์มีวิธีซ้อมยังไงบ้างครับ
Hucky : อย่างแรกเราต้องคิดว่า แยกให้ออกว่าการซ้อมกับเล่นมันไม่เหมือนกัน อันนี้สำคัญนะ เวลาเราซ้อมนี่คือการทำงาน เราต้องวิเคราะห์ทุกอย่างทุกลีลาที่เราจะเล่น  แล้วก็ต้องดูว่าปัญหาที่เจอมันอยู่ตรงไหน แล้วเราก็ค่อยๆแก้ปัญหา   เช่นสมมติว่า เรามีเสกลนึง แล้วเราก็ใช้นิ้ววางเป็น 2 4 1 ส่วนอีกมือ เล่นเป็น 1 2 3 4อะไรแบบนี้ มันเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของกีต้าร์ เพราะถ้าการเล่นเปียโนเนี่ยะ สองมือของเราเล่นเท่ากัน แต่ในกีต้าร์มือนึงเล่นอย่าง อีกมือก็เล่นอีกอย่าง ด้วยน้ำหนักที่ไม่เท่ากัน  เราต้องนั่งวิเคราะห์ อาจจะต้องมีการเล่นสลับนิ้ว เช่น 1 2 4 ก็ค่อยๆดูว่าเล่นได้ไหม ถ้าเล่นได้ ก็ลองดู 1 3 4 เล่นได้หรือยัง ถ้าเล่นได้ก็ลองเอาสองอันมาผสมกัน แล้วก็ต้องเล่นให้ช้าๆก่อน ทุกโน๊ตเล่นด้วยน้ำหนักเท่ากัน แล้วหลังจากนั้นก็อาจจะใส่ accent ให้เป็น  กรุ๊ปทุกๆ 4 โน้ต หรือเป็น 3 พยางค์ มันการสร้างอะไรใหม่ๆ เขาเรียกวิธีนี้ว่า creative practicing  แล้วมันจะทำให้เราสนุกในการซ้อม ไม่รู้สึกเบื่อ  ถ้าเราไม่คิดอะไรแล้วเล่นอย่างเดิมทุกๆวันนี่น่าเบื่อ (หัวเราะ)

GT : เป็นเรื่องพื้นฐานที่บางครั้งหลายๆคนคิดไม่ถึง
Hucky : อืม..ใช่ มันเป็นเรื่องเล็กๆแต่สำคัญมากๆถ้าใครไม่อยากเบื่อ ผมก็แนะนำเลยครับ creative practicing  (หัวเราะ)

GT : เคยมีคำพูดจากหลายๆคน พูดถึง ดนตรี คลาสสิกเป็นดนตรีที่ต้องเครียด
Hucky : ใช่..มันก็เครียด แต่ทุกคนที่คิดอย่างนั้น เขาใช้ดนตรีคลาสสิกอย่างผิดๆ จริงอยู่ที่ดนตรีคลาสิต้องมีการกำหนดทุกอย่างตายตัว แต่จริงๆแล้วเราไม่จำเป็นต้องเล่นมันให้เหมือนกับพิมพ์ดีด  เราเป็นคน แล้วดนตรีมันก็มีหลายวิธีที่จะเล่น มันมีทั้งระดับเสียง สีสรรของเสียง มีไดนามิก มีหลายอย่างที่เราเล่นได้ รวมถึงริทึ่มหรือจังหวะอีกมากมายที่ให้เราเลือกเล่นด้วยเช่นกัน  โอเคก็มีเหมือนกันนะอย่างเราเล่นเพลง ของ Bach เราจะเล่นมันให้ออกมาเหมือนกับเพลงยุค romantic ไม่ได้  อันนั้นเป็นการเล่นแบบที่มีสไตล์ตายตัว  หลายคนเล่นเพลงคลาสสิกแบบตายตัวเกินไป แล้วเวลาเล่นออกมามันไม่น่าสนใจ  แต่การเล่นเนี่ยะมันควรเล่นอย่างมีธรรมชาติ เพราะเราไม่ได้รู้สึกเหมือนกันทุกวัน เราไม่ได้เล่นทุกเพลงซ้ำๆทุกวัน  ถ้าวันนั้นเราเศร้า เราต้องเล่นเพลงซักเพลงอย่างความสุขหรือเปล่า มันไม่ต้องเลย แล้วถ้าเรารู้สึกมีความสุขมาก เราก็ไม่จำเป็นต้องเล่นเพลงเศร้าเช่นกัน มันไม่จำเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดเวลา มันเปลี่ยนแปลงกันได้ ต้องมีการยืดหยุ่นด้วยเช่นกัน  เช่นวันนี้เราอยากจะเล่นเพลงซักเพลงในมันดูนุ่มนวลหน่อย  อีกวันเราไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเราก็เล่นมันให้เข้มแข็งขึ้นมา

GT : ทุกอย่างคือการครีเอท  
Hucky : ใช่ !! แต่เราต้องเตรียมตัวเองในการเล่นในหลายๆรูปแบบ หลายๆสถานการณ์ เช่นวันนี้เล่นเบาๆก่อน แล้วอาจจะดังขึ้น มันต้องมีการตอบสนองเรื่องอารมณ์ด้วย ใน ณ นาทีนั้น เราเป็นคนเล่นเปรียบเหมือนเป็นคนเล่าเรื่องราวของเพลง  ส่วนคนที่ไปดูคอนเสิร์ตเนี่ยะเขาไปดูคอนเสิร์ตทำไม??  ก็เพราะว่า อย่างนึง เขาอาจจะมีงานเยอะ เขาเครียด  เขาอยากที่จะรู้สึกว่า relax เขาไม่อยากไปดูดนตรีแล้วเครียดอีก เขาไม่สนใจหรอกว่าคนเล่นจะใช้เสกลอะไรหรือว่าโหมดอะไร เขาไม่สนใจเรื่องนี้  ชีวิตเขาอาจจะอยู่ในขอบช่วงหนึ่ง มีความสุขและความเศร้าประมาณนึง ส่วนเราเป็นนักดนตรีเนี่ยะความสุขและความเศร้าของเราจะมากกว่าพวกเขาเยอะมาก เป็นเรื่องปรกติเลย  คนทั่วๆไปไม่รู้สึกลงไปต่ำขนาดอย่างเรา  หรือสูงมากกว่า แต่เรากลับใช้ความรู้สึกอย่างนี้มาแต่งเพลงได้  (หัวเราะ) เราเป็นนักดนตรีเราต้องพูดในเรื่องที่เศร้าที่สุดและมีความสุขที่สุด แต่ทั้งหมดนี้การเล่นที่สำคัญที่สุด มันจะต้องออกมาจากข้างใน เราต้องรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

GT : การเล่นกีต้าร์คลาสิก กับเพลงคลาสสิกซักเพลง เรื่องของการวางตำแหน่งของนิ้ว เป็นเรื่องจำเป็นหรือเปล่า ที่จะต้องเล่นตามที่กำหนดมา
Hucky : อืม .. ไม่จำเป็นนะ ทุกคนไม่เหมือนกัน บางคนตัวใหญ่ บางคนตัวเล็ก บางคนนิ้วยาว บางคนนิ้วสั้น  เพราะถ้าเขาฝืนนิ้ว มันจะแปลกๆ มันจะผิดธรรมชาติ มันอาจจะมีไกด์ไลด์มาให้ แต่ทุกคนต้องหาทางนิ้วและเทคนิคที่เขาสะดวกด้วย  คือกีต้าร์คลาสสิกเนี่ยะ ทุกคนจะถูกสอนมาโดยการวางมือทำมุมประมาณนึง ต้องยกขาขึ้นเพื่อเป็นรองกีต้าร์ อย่างที่เห็นๆกัน จริงๆมันไม่ควรเป็นแบบนี้ แล้วในชีวิตปรกติผมเองไม่เคยทำแบบนี้นะ  เพราะมันไม่ถนัด มันไม่สะดวก เล่นไม่ได้ มันต้องเกร็งมือ  แล้วจะทำให้มือมันเป็นตะคริว  มันควรวางมืออย่างสบายๆ

GT : ธรรมดา ถ้าใครจะเริ่มต้นเรียนกีต้าร์คลาสสิกเขาจะมีท่าบังคับให้
Hucky : ไม่ๆ!! ไม่จำเป็นเลย อันนี้มันเป็นธรรมชาติหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่!! เคยมีครั้งนึงมีคนสัมภาษณ์ Julian Bream ที่ว่า ทำไมชอบเล่นกีต้าร์ด้วยท่าแบบนี้แบบนั้น แล้วคนที่สัมภาษณ์เขาก็ถามต่อด้วยว่า จริงๆคุณเล่นกีต้าร์ไม่ได้ใช่ไหม (หัวเราะ) เพียงเพราะการที่ไม่ได้วางมือแบบนี้ แบบที่ถูกกำหนด Julian Bream ก็ตอบไปว่า ถ้างั้นก็ใช่  ขอโทษด้วยครับ (หัวเราะ) มันต้องเล่นทุกอย่างเป็นธรรมชาติ

GT : เหมือนกับว่าเราควรหาวิธีเล่นที่เรารู้สึกสบายและถนัดให้มากที่สุด
Hucky : ถูกต้อง !! นั้นแหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และเราต้องเรียนและฝึกเรื่องของเทคนิคด้วย เพราะมันเป็นเหมือนกับเรากำลังเรียนคำ เช่น สวัสดี ,น้ำ,ตู้ อะไรอย่างนี้ เราต้องรู้ความหมายมันด้วย ไม่ใช่แค่พูดไปอย่างเดียวแต่เราไม่รู้ความหมายมันเลย กับดนตรีก็เหมือนกัน เราเล่นได้แค่โน๊ตอย่างเดียว หรือว่าเราทำได้มากกว่านั้น จริงๆแล้ว ถ้าเราวิเคราะห์มัน ดนตรีมันมีหลายแบบ เขาเรียกว่า paramethod อันแรกจะเป็น pitch คือโน็ตเสียงต่ำเสียงสูง ซึ่งสามารถเล่นในไหนก็ได้ เครื่องดนตรีไหนก็ได้ หรือแม้แต่ในโปรแกรมดนตรีของคอมพิวเตอร์ ต่อมาคือ dynamic คือเล่นเบาหรือเล่นดัง ถ้าเราเล่นอย่างใดอย่างหนึ่งจะเป็น pitch หรือ Dynamic มันก็ไม่ได้  มีครั้ง นึง ผมเคยไปเป็นกรรมการที่แข่งขันกีต้าร์ และในชีวิตนี้ ผมจะไม่ไปเป็นอีก (หัวเราะ) เพราะ 44 คนเนี่ยะ มาถึงก็เล่นเหมือนกันหมด (เล่นเพลง romance ในแบบที่ 44 คนเล่นให้ดู ) คือทุกคนเล่นเอาแต่โน๊ตอย่างเดียว มันไม่ใช่ดนตรี นั่นคือทุกคนเรียนกันมาแต่โน๊ต แต่ยังไม่ได้เรียนดนตรี และก็มีเด็กผู้หญิงคนนึง เขามาเล่นเพลงเดียวกัน แต่ไม่ใช่การเล่นแบบโน๊ตที่ตรงส่วน เขากับเล่นมันเป็นดนตรีมากๆ เขาไม่ได้เล่นแค่ pitch อย่างเดียว (หัวเราะ) จริงๆ ดนตรีเนี่ยะมันเหมือนทำอาหารนะ  จะเป็นแกงจืดก็ได้ ไม่ต้องใส่อะไร แต่ถ้าอยากจะอร่อยกว่านั้น ก็ต้องใส่อะไรอีกนิดหน่อย ใส่เกลืออีกหน่อย ต้องใส่น้ำปลาหน่อย แต่เราไม่ได้จำเป็นต้องใส่มันให้เหมือนเดิมทุกๆวัน มันเป็นชีวิต มันเป็นธรรมชาติ ดนตรีก็เป็นแบบนั้น  เปรียบอีกอย่าง คนเรารู้จักคำศัพท์ไม่เท่ากัน เช่นเด็กเล็กจะรู้จักคำศัพท์น้อยกว่าผู้ใหญ่ ส่วนคนอายุ 20 กว่าจะรู้มากขึ้น ที่นี้ขึ้นอยู่กับการใช้แล้ว ว่าเราจะพูดเพราะหรือว่าไม่เพราะ สิ่งเหล่านี้จะว่าไปแล้วมันเป็นปัญหาของนักกีต้าร์คลาสสิคเลยนะ เพราะทุกคนสนแต่เรื่องโน๊ตอย่างเดียว  เรื่องนี้มันยังไม่ใช่ดนตรี เวลาเล่นจริงๆมันต้องลืมให้ได้ ถ้ายังคิดถึงแต่เรื่องนี้ มันก็ยังไม่ใช่ดนตรี

GT : หลายๆคนเป็นเยอะเหมือนกัน
Hucky : เป็นทั้งโลกเลย (หัวเราะ) อีกอย่างนึงเวลาที่ผมไปทำ work shop สมมุติว่าผมเล่นเพลงซักเพลงนึง ทุกคนจะบอกว่า ทำไม่ไม่เล่นแบบเดิมๆ แล้วเหตุผลของเขาก็คือ “ก็เพราะว่า John Williams เล่นแบบนั้นนะซิ” ดังนั้นการที่คุณจะเล่นออกมาให้เหมือนกับ John Williams มันจะไม่มีประโยชน์เลย ต่อให้เป็น John Williams ที่ 1 ที่ 2 หรืออะไรก็แล้วแต่ จะไม่มีใครสนใจการเล่นของคุณเลย  คุณจะต้องมีไอเดียของคุณเอง แล้วคนจะสนใจฟังเรา แต่ถ้าคุณยังอยากเล่นเหมือนกับ John Williams ก็จะไม่มีใครสนใจฟัง เขาไม่อยากฟังก็อปปี้ของคนอื่น อันนี้สำคัญมากเลย

GT : เรื่องนี้เหมือนจะแก้ไขกันยากหรือเปล่าครับ
Hucky : คิดว่าแก้ไขกันยาก มีบางคนที่ไม่ต้องสอน เขาก็หาทางไปได้ด้วยตัวเอง เรื่องพวกนี้มันสอนกันไม่ได้ และถ้าสมมุติว่ามันสอนกันได้นะ แล้วทุกคนแก้ได้หมด มันก็จะมีมือกีต้าร์เก่งๆ เกิดขึ้นมาเป็นล้านคนเลยในโลกนี้ (หัวเราะ) เช่นกัน เหมือนกับอาจจะมีหมอซักคนที่จะสามารถตรวจโรคมะเร็งได้ดีๆ แต่อีกหลายๆคนอาจจะไม่ได้

GT : มีอย่างหนึ่งที่หลายๆคน มักจะคิดกันเสมอว่า ดนตรีคลาสสิกเป็นเรื่องที่เข้าถึงยาก และต้องซ้อมหนัก จนทำให้ไม่อยากเข้ามาเล่นเพลงคลาสสิกกัน และก็ไม่อยากฟังเพลงสไตล์นี้
Hucky : อืม..ถ้าฟังซีดีบางทีแล้วรู้สึกว่าการฟังกีต้าร์คลาสสิกมันยากเกิน ผมก็คิดว่าก็ควรต้องทิ้งซีดีแผ่นนั้น แล้วก็หาซีดีแผ่นใหม่ที่มันฟังง่ายกว่ามาฟัง  อย่างเวลาผมเล่น ผมมีความรู้สึกว่าผมไม่อยากให้ทุกคนเครียดเพราะการฟัง ผมอยากให้ทุกคนกลับบ้านพร้อมรอยยิ้ม แล้วมีความรู้สึกดี ผมไม่อยากให้ทุกคนกลับบ้านแล้วก็คิดแต่ว่าคนนี้เล่นเพลงยาก อย่างวันที่เราไปร้านอาหาร เราก็ไม่ได้สนใจหรอกว่า กุ๊กเขาจะทำอาหารเก่งแค่ไหน เพียงแต่เราแค่อยากกินก๋วยเตี๋ยวที่มันอร่อยก็แค่นั้นเอง (หัวเราะ) คนฟังเขาอยากมาฟังเพลงแล้วมีความรู้สึกสนุกก็แค่นั้นเอง ส่วนเรามีปัญหากับตัวเองหรือไม่นั้น มันก็เป็นอีกเรื่องนึง

GT : คุณฮักกี้มีคำแนะนำอะไรให้กับน้องๆหรือใครหลายๆคนที่อยากจะเริ่มต้นเล่นหรือฟังเพลงคลาสสิกครับ
Hucky : จริงๆ การเล่นกีต้าร์คลาสสิกเนี่ยะ มันไม่ได้ยากกว่าการเล่นเปียโน ไม่ได้ยากกว่าเครื่องอื่น อืม..อย่างแรกเลยคือ ต้องไม่กลัว อย่ากลัวที่จะทำอะไรผิด ทุกอย่างต้องซ้อม และก็ใช้สมอง ทุกอย่างต้องมีการวิเคราะห์ในการซ้อมค่อยๆ มองปัญหาแล้วก็แก้ไป ถ้าทำได้แบบนี้ จะทำให้การซ้อมสนุกมาก   ทำให้เรารู้สึกไม่ยากด้วย  แล้วก็อีกอย่างคือ ไม่ต้องเชื่อครูมากจนเกินไป  เช่นถ้ามีครูคนนึงที่ทำให้เรารู้สึกกลัวหรือ ทำให้รู้สึกยากต่อการเล่น ผมว่าควรต้องเปลี่ยนครูดีกว่า (หัวเราะ) คือมันหมายถึงการทำให้เด็กกลัว แล้วส่งผลต่อทัศนคติของเด็กคนนั้นๆที่ไม่ดีต่อดนตรีด้วย  ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัวเลยว่าทุกคนจะเล่นเพลงคลาสสิกหรือฟังเพลงคลาสสิกไม่ได้  อย่าไปคิดถึงเพลงยากๆ คิดถึงเพลงที่เรารักเราชอบ แล้วเวลาเล่น เราก็ใส่ให้เต็มที่ ทุกคนเล่นได้เหมือนกัน เพลงทุกเพลงไม่มีมาตราฐานว่าจะต้องเล่นให้ได้ระดับไหน  เราเล่นกันคนละ ขอแค่เรามีความสุขกับการเล่น  ชีวิตนี้เราต้องหาความสุขไม่ใช่หาความเครียด (หัวเราะ) ส่วนคนที่เขาพูดว่ากลัวดนตรี เนี่ยะผมคิดว่าเขาคิดผิด ดนตรีเนี่ยะมันทำให้เรามีความสุข หรือถ้าดูจริงๆเนี่ยะ อย่างเพื่อนผมที่เป็นหมอหลายๆคน คือเขาอาจจะทำงานที่โรงพยาบาลทั้งวัน แล้วพอถึงเวลาที่เขากลับบ้านเนี่ยะ แล้วรู้ไหมว่าอย่างแรกที่เขาทำเมื่อถึงบ้านคืออะไร เขาจะเล่นดนตรีก่อนเป็นอย่างแรก อาจจะเล่นเปียโนหรือกีต้าร์  มันสามารถแก้ความเครียดได้ ทำให้เราไม่ต้องกินยา หรือกินเหล้าเลย ดนตรีมันช่วยอะไรได้มาก

GT : อีกอย่างที่พบเจอบ่อยๆ คือ การเล่นดนตรีเพื่อแข่งขันกันเอง เกทับกัน
Hucky : อันนี้เป็นปัญหาเหมือนกันหมดทั่วโลก นั้นคือเขากำลังเข้าใจผิด เขายังไม่เข้าใจความหมายของดนตรี  เพราะดนตรีไม่ใช่กีฬา ถ้าอยากแข่งขันก็ต้องไปเล่นกีฬา เพราะมันวัดได้  เราวิ่ง 100 เมตรภายใน 10 วินาที นั่นคือเราสามารถนับไม่ได้ จดบันทึกได้  จริงอยู่กีต้าร์ หรือเครื่องดนตรีอื่นๆ มันอาจจะวัดกันได้ แต่ความหมายจริงๆมันอยู่ไหน มันไม่มีเลย เราไม่มีโอลิมปิกสำหรับกีต้าร์ ผมคิดว่าปัญหานี้มันมาจากการเปิดให้มีการประกวดการแข่งขันดนตรี ถ้าให้ผมมาเป็นคณะกรรมการนี่ ผมไม่เป็นเลยนะ เพราะผมไม่ใช่กรรมการที่อยู่ในสนามกีฬา ถ้าคิดว่าการแข่งขันแล้วได้ที่หนึ่งแล้วจะช่วยอะไรได้ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ ในขณะที่คนที่เข้าประกวดแล้วได้ที่ 1 จริงอยู่ที่เขาอาจจะได้ชื่อเสียงเร็วกว่าคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันคนที่ไม่ได้แข่งหรือไม่ได้ที่ 1 เขาก็สามารถสร้างชื่อเสียงได้ หรือแม้การเล่นเร็ว หากใครที่เขาเป็นคนเล่นกีต้าร์ แล้วเขาได้ฟังเขาอาจจะบอกว่า อืม เล่นเร็ว แต่ถ้าคนที่เขาไม่ได้เล่นดนตรีเขาฟัง เขาไม่ต้องการรู้หรอกว่าคุณเล่นเร็วหรือเปล่า เขาแค่อยากฟังการเล่นที่ออกมาจากความรู้สึกมากกว่า

GT : คนที่ฟังเพลงคลาสสิกจะไม่ค่อยสนใจแจ็ส และขณะเดียวกันคนที่ฟังแจ็สก็จะไม่ฟังคลาสสิก
Hucky : ใช่ๆ อันนี้เป็นปัญหาใหญ่มากๆเลย แล้วนี่คือปัญหาของโรงเรียนที่เป็นกันทั่วโลกเลย คนที่เล่นเพลงคลาสสิกเนี่ยะ  เขาจะมองว่าคลาสสิกมันจะเป็นอะไรที่อยู่สูงที่สุดแล้ว ส่วนแจ็สจะเล่นอยู่แค่ตามคลับ ส่วนป็อปเป็นอะไรที่เล่นเพื่อการตลาด แล้วเวลาผมสอนใครก็ตามผมจะไม่แนะนำให้เขาฟังแต่กีต้าร์ ผมจะให้เขาไปฟังพวกออเคสตร้า หรือไม่งั้นก็แจ็ส
GT : อย่างในประเทศยุโรป เขาเองก็มีการนำเพลงแจ็สมาผสมกับคลาสสิก
Hucky : ใช่ เดี๋ยวนี้ก็มีหลายๆคนที่ฟังเพลงโดยไม่จำกัดแนว ฟังได้หลากหลาย อย่างคนที่ฟังหรือเล่นเพลงคลาสสิกที่ยุโรปเดี๋ยวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใส่สูทเลย ไม่มีการยึดติด อย่างครั้งนึง ผมเคนได้เล่นร่วมกันกับมือกีต้าร์คลาสสิกที่มีชื่อเสียงมากๆ แต่ขอไม่บอกชื่อแล้วกัน  ก็ลองเล่นด้วยกัน เป็นเพลงออกสไตล์ rumba แล้วให้เขาเล่นริทึ่ม ผลคือเขาเล่นไม่ได้  คือเวลาที่เขาซ้อม เขาจะพุ่งเป้าไปกับการซ้อมโน๊ต มากกว่าการซ้อมริทึ่ม คือมันต้องมีการเล่นแบบ..สวิงในตัว

GT : คือต้องมีกรู๊ฟ
Hucky : ใช่ ต้องมีกรู๊ฟ มีจังหวะ คือต้องฟังดนตรีแบบอื่นๆด้วย อาจจะไม่ต้องเล่น แต่ฟัง ถ้าการเล่นคลาสสิกอย่างเดียว ส่วนใหญ่จะไม่มีเรื่องพวกนี้ แต่ขณะเดียวกันคนที่เล่นแจ็สก็จะไม่มีการเล่นที่เป็นฟอร์ม เพราะอิมโพรไวส์อย่างเดียว  ทุกคนน่าจะฟังสไตล์อื่นๆ คนแจ็สก็น่าจะเรียนพวกคลาสสิกเพิ่มนิดหน่อย ส่วนคนที่เล่นคลาสสิก อย่างน้อยที่สุดน่าจะฟังแจ็สด้วยเช่นกัน  อย่างเช่นที่ในหลวงท่านได้ตรัสไว้ว่า “ดนตรีทุกสไตล์มีความหมาย ”  ดนตรีทุกอย่างดีหมด เพียงแค่เลือกเวลา คือรู้ว่าเวลาไหนต้องเล่นเพลงแบบไหน

GT : ในฐานะที่คุณฮักกี้ เป็นชาวต่างชาติ แล้วมาอยู่เมืองไทย แล้วมีความรู้สึกชอบและให้ความสำคัญกับดนตรีพื้นบ้านหรือวัฒนธรรมของไทย แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีหลายๆคนในประเทศที่มองข้ามดนตรีแบบไทยๆไป
Hucky : อืม.. ตอนที่ผมเรียนดนตรีอยู่ที่ยุโรป ทุกคนต้องสอบเพลงคลาสสิกและเล่นเพลงที่เหมือนๆกัน ผมก็สอบเหมือนกับทุกคน แต่ผมคิดว่าทั้งชีวิตนี้ผมไม่อยากใช้ชีวิตนี้เล่นเพลงเดียวกัน  ผมก็เล่นได้สอบได้ แต่ผมก็อยากทำอย่างอื่นด้วย ครั้งนึงตอนที่ผมสอบ ตอนนั้นอยู่ที่ Stuttgart (สตุดการ์ด) กำลังสอบ แต่สมองคิดแต่กรุงเทพแล้ว  เพราะครั้งผมเคยเจอพี่นพ โสตธิพันธ์ แล้วเห็นเพลงที่เขาเล่นก็เป็นเพลงลูกทุ่ง แล้วก็เพลงอีกสาน  ผมก็อยากมาที่นี่แล้วก็ลองเล่น และศึกษามัน แล้วก็อีกอย่างคือ ผมชอบจังหวะของดนตรีไทย แต่หลายๆคนที่เขามาเที่ยวและก็ฟังเพลงไทย ซึ่งเขาไม่ได้เป็นนักดนตรี เขาก็อาจจะรู้สึกฟังยากหน่อย  เพราะมันเป็นคนละสเกลที่ใช้เล่น  ผมมีเพื่อนคนนึง เขาเป็นลูกศิษย์ของ  Kodaily  (โคได) อยู่ที่ฮังกรี  เขาก็ให้นักเรียนฟังแต่ดนตรีพวก contemporary classic อย่างเดียว เขาไม่ให้นักเรียนฟังเพลงอย่าง Mozart หรือเพลงที่มี ไตรโทน เขาทำอย่างนี้ทุกวันเลยนะกับลูกศิษย์  แล้ววันนึงเขาก็ให้ลูกศิษย์ทุกคนมานั่งรวมกัน  แล้วก็เปิด Mozart  ให้ทุกคนฟัง ปรากฎว่า ทุกคนตกใจมาก ทุกคนบอกว่านี่เป็นการเล่นที่ผิด (หัวเราะ) เพราะทุกคนคุ้นเคยกับการฟัง contemporary classic นี่ก็เป็นประสพการณ์การฟังดนตรีของหูแต่ละคน ปัญหานี้จริงๆไม่ได้เป็นแค่ในไทยนะ ทุกทีก็เป็น อย่างในเยอรมันจะมีคำพูดนึงคือ “หญ้าในสวนของเพื่อนบ้าน จะเขียวกว่าหญ้าในสวนของเรา” (หัวเราะ)  การคิดแบบนั้น จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย ถ้าจะคิดว่าอะไรที่เป็นต่างชาติจะดีกว่า มันไม่ใช่เลย พูดตามความจริงแล้ว ปัจจุบัน คนต่างชาติหลายต่อหลายคน อยากเข้ามาอยู่ในเมืองไทย อยากมาอยู่ในเอเชียนะ  หลายๆคนเขาอยากมานั่งสมาธิ แต่ในกรุงเทพส่วนใหญ่อยากไปดิสโก้ หรือว่าช๊อบปิ้งกัน  (หัวเราะ) ที่นั่นเขาเบื่อแล้ว เขาทำมาแล้ว ตอนนี้เขาพยายามกลับสู่ธรรมชาติ เมื่อก่อนที่เยอรมันเขาอยากมีรถใหญ่ รถที่วิ่งเร็ว เดี๋ยวนี้เขาอยากมีรถที่เล็ก รถที่กินน้ำมันน้อย  รถที่ขับช้า แต่ขณะเดียวกันที่เมืองไทย เรามีที่ๆมีธรรมชาติเยอะๆ  แต่เราคิดกันว่าความสุขนั้นอยู่ที่วัตถุ อยู่ที่รถคันใหญ่ อยู่ที่บ้านสวย บ้านใหญ่  จริงๆเราควรต้องรักสิ่งที่เรามีอยู่ สิ่งนี้มันสำคัญกว่า อย่างเรื่องของดนตรี ที่ยุโรป เขาฟัง Bach หรือว่า Mozart  แล้ววันนึงเขาเปลี่ยนมาฟังเพลงสไตล์อื่น อย่างเพลงลูกทุ่ง แต่ยังไงก็ตาม จะผ่านไปกี่ปี เขาก็ยังคงมีโน๊ตของ Bach และ Mozart  แต่ในเมืองไทย เช่นเรามีอาจารย์ บุญยงค์ เกตุคง ซึ่งเป็นคนที่เล่นระนาดปละดนตรีไทยเก่งมาก และมีความรู้เยอะมาก พอเขาเสียชีวิต ความรู้ก็หายไปหมด บางคนก็อาจจะทำซีดีซัก 2 –3 ชุด แต่ก็ยังเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก แล้วก็หมดไป คือมันน่าเสียดาย แล้วก็หาไม่ได้แล้ว แล้วส่วนใหญ่ดนตรีไทยไม่ค่อยมีใครแคร์เท่าไหร่ เวลามีงานสปอนเซอร์ไม่ค่อยมีใครสนใจ  ถ้าลองเอา Michael Jackson มาทุกคนจะให้เป็นล้าน   โอเค Michael Jackson เขาดี ยอดเยี่ยมทุกอย่าง แต่ถ้าถามว่า หากจะไปอัดพินเปี๊ยะที่เชียงใหม่ เพราะยังไม่มีใครทำ สนใจจะสนับสนุนไหม เขาก็จะตอบว่า ยังไม่มีเงิน  วันนี้ทุกคนคิดกันแบบนี้ แต่พอ 20-30 ปีข้างหน้า ต้องเสียใจแน่นอน เพราะมันจะหายไปหมดแล้ว ถ้าเราไม่ยอมทำอะไรกันตอนนี้  ซึ่งอย่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงนั้นในหลวงสนับสนุน และในวังสนับสนุนนักดนตรีด้วย แต่พอหลังจากนั้น  มันทำให้คนอย่างอาจารย์บุญยง เกตุคงที่เป็น grandmaster ของดนตรีไทยเนี่ยะ  เขาต้องมาพักอยู่ที่สลัม แล้วเขาก็เป็นโรคหลายโรคมาก น่าสงสารมากๆ เขาต้องอยู่เป็นคนจนจริงๆ ซึ่งความจริงเขาเป็นคนที่อัจฉริยะมากๆเลยนะ เขาอาจเป็นอย่าง Mozart ได้ แต่เขาอยู่ที่นี่ ก็อยู่อย่างแค่คนจน ก็มีแค่โอกาสเล่นให้นักท่องเที่ยวได้ฟัง ลองคิดดูว่าคนที่มีความรู้เรื่องเพลงไทยที่ระดับสูงมากๆเลย ต้องมานั่งเล่นแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่น่าสงสารมากๆเลยนะ  มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้ มันควรจะมีการสนับสนุน ผมคิดว่าคนไทยมีหลายอย่างที่เราควรจะภูมิใจ ไม่จำเป็นต้องดูต่างชาติตลอดเวลา  อะไรที่เป็นต่างชาติมันไม่ใช่ดีตลอดเวลา แม้แต่คนเยอรมันยังต้องซื้อนาฬิกาที่ทำจากที่อื่นเลย เราต้องซื้อเสื้อผ้าที่มียี่ห้อหรือเปล่า ไม่ต้อง ไม่จำเป็น อย่างผมที่ไม่รู้จักเสื้อบางยี่ห้อ ก็มีผู้หญิงเขาโมโห ที่เราไม่เห็นว่าเขาใส่ยี่ห้อแพง (หัวเราะ) มันเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญเลยของชีวิตนี้ ครั้งนึงผมเคยมีประสพการณ์ ที่คุณแม่ผมเขาเป็นมะเร็ง แล้วผมก็ส่งคุณแม่ไปที่โรงพยาบาลที่เยอรมัน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ดีมากๆในเรื่องการรักษาโรคมะเร็ง  3 ชั้น เป็นโรงพยาบาลสำหรับผู้หญิง คนไข้บางคนมาจากรถเมล์ บางคนญาติไปส่ง บางคนก็มากับจักรยาน บางคนมากับโรสลอย บางคนมากับจากัวร์  มีทุกอย่าง มีทุกอาชีพ มีทุกระดับ
แต่เมื่อทุกคนมาอยู่ที่นี่ทุกคนต้องใส่ชุดเดียวกัน  ทุกคนใส่ชุดขาว ทุกคนเป็นคนเหมือนกัน แต่อย่างหนึ่งที่เราต้องมีกันคือ Quality ที่อยู่ข้างในตัวเอง   ของเราแต่ละคนนั้นแข็งแรงขนาดไหน ความหมายของเราอยู่ที่ไหน  ต่อให้เรามีนาฬิกา Gucci   แล้วมันช่วยให้มะเร็งหายได้ไปไหม ลองถามหมอหน่อยซิ  ไม่มีทางแน่นอน แล้วตอนนั้นหมอเขาก็เห็นว่าคุณแม่เขาไม่สนใจตัวเอง ก็พยายามพาแม่ไปนอนที่ห้อง เพราะว่าแม่มักจะลุกขึ้นไปช่วยเหลือคนอื่น ในโรงพยาบาล หมอก็บังคับแม่ให้พักผ่อน แต่แม่ก็ไม่ยอม เขาก็ยังไปช่วยคนอื่นๆที่เป็นหนักๆ ที่เครียดมากๆ ผมก็เลยบอกหมอว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องไปยุ่งกับแม่เขา ปล่อยเขาเลย แล้วสุดท้ายการที่แม่ช่วยคนอื่นๆ มันทำให้แม่หายเร็วเลยนะ  อันนี้แหละคือเรื่องที่สำคัญในชีวิตแต่ช่วงนี้ในกรุงเทพกลับคิดกันว่า เฮ้ย !! เขาขับรถอะไรกัน  มันเป็นเรื่องที่ตลกมากเลยนะ  
 
GT : กับแนวคิดอย่างนี้ อยากถามคุณฮักกี้อีกอย่างว่า จำเป็นไหมที่นักดนตรีต้องมีเครื่องมือที่ดี ที่แพง
Hucky : พวกนี้มันไม่เกี่ยวกับแพงเลย แต่มันต้องดี อย่างผมเนี่ยะ ผมมีแอมป์ตัวนึงไม่มียี่ห้อแต่เสียงดีมากๆ ซึ่งมาจากเยอรมันตะวันออก สำหรับคนที่นั่นดังมากเลยนะ ถ้าใครเล่นเครื่องเสียง แต่เวลาคนอื่นมาเขาจะแบบ อะไร ยี่ห้ออะไรไม่รู้จัก (หัวเราะแต่สำหรับการเล่นดนตรีบางที ถ้าเครื่องไม่ดี แล้วเราเล่นเก่ง บางทีมันจะไม่ถูกขับออกมาเต็มที่ แต่ขณะเดียวกัน คนที่เล่นกีต้าร์มาซัก 2 อาทิตย์ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อกีต้าร์แพงๆ อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ ต้องไปซ้อมก่อน แต่ถ้าคนที่เล่นเก่งๆแล้วก็ควรจะมีเครื่องดีๆ  อย่างนึงนะ สำหรับพ่อแม่ที่คิดจะส่งลูกไปเรียนดนตรี แล้วคิดว่าจะซื้อเครืองดนตรีถูกๆให้ใช้ไปก่อน จริงๆแล้วผิดนะ เพราะกีต้าร์ถูกๆเนี่ยะ มันทำให้เล่นยาก แล้วจะให้เด็กไม่ชอบ มันเจ็บ  อาจจะไม่ต้องเป็นกีต้าร์ที่แพงมาก แต่เล่นแล้วสะดวกต้องให้คนอื่นช่วยเลือก ไม่ควรเลือกด้วยตัวเอง
GT : ที่นี้อยากให้คุณฮักกี้ช่วยพูดถึงเรื่องคอนเสิร์ต Acoustic Gig ที่กำลังจะมีครับ  เพราะส่วนใหญ่จะเห็นคุณฮักกี้พวกคลาสสิกซะเยอะ
Hucky : จริงๆคอนเสิร์ตแบบนี้อยากทำนานแล้วนะ เพราะไม่ค่อยได้เล่นคอนเสิร์ตกับเพื่อนคนไทยเลย นานแล้วก็อยากจะทำคอนเสิร์ตกับเพื่อนๆที่เคยทำงานด้วยกัน ก็ทุกคนก็มาช่วยๆกัน  อย่างคนแรกก็คือ คุณมาริสา สุโกศล เธอเป็นคนที่มีเสียงดีมากๆ แล้วเขาไม่ ได้เป็นแค่นักร้องอย่างเดียวนะ เขาเป็นนักแสดงด้วย  เก่งมากด้วย  คุณโก้ เราก็เคยเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันที่เชียงใหม่  โก้เป็นนักดนตรีแจ็ส แล้วมันแปลกมากเลย แซ็กโซโฟนกับกีต้าร์  แล้วเราเล่นด้วยกัน มันสนุกมาก คุณอ๋องสุรสีห์ เป็นคนแรกเลยนะที่ผมได้รู้จักในเมืองไทย แล้วกเคยมีโอกาสได้ทำอัลบั้มร่วมกัน เป็นงานที่เอาเพลงของ The Beatles มาเล่น  แล้วนักร้องอีกคนที่ผมนับถือเสียงของเขามากเลยคือ คุณภูสมิงค์ เป็นคนร้องเพลงเพราะมาก และเล่นกีต้าร์ดีด้วย และก็มีอีกคนที่จะช่วยเล่นอยู่แทบตลอดงานคือ หนุ่ม T-Bone  (หัวเราะ) ซึ่งจะช่วยเล่นเพอคัสชั่น และก็มีมือระนาดที่เก่งมากๆ คือ ขุนอิน (หัวเราะ) เก่งมากๆ และอีกคนที่เราเคยเล่นด้วยกันบ่อยๆคือคุณป้อม ออโต้บาน คิดว่าวานนี้ไม่น่าเบื่อแน่นอน เพราะมันมีความหลากหลายมาก

GT : ปัจจุบันคุณฮักกี้ใช้อุปกรณ์อะไรบ้างครับ
Hucky : ก็จะมีตัวนึงที่ได้มาเมื่อปี 2000 ก็ 7 ปีแล้ว เป็นกีต้าร์จากออสเตเรีย เป็นกีต้าร์ที่หนักมาก ความพิเศษของเขาคือ ถ้าดูจากด้านหลังจะเห็นเลยว่า เขาทำแบบไวโอลีน ตัวนี้จะเป็นแบบ double back แล้วก็เป็น doubleside ด้วย ข้างหน้าจะเป็น cedar  ธรรมดา แต่ข้างหลังจะเป็น Brazilian rosewood  มันจะหนักมาก แต่ทำให้คุณภาพเสียงที่ออกมาดีมากๆ เสียง sustain จะยาวมาก ปรกติเสียงกีต้าร์จะดังออกไปซัก 5 เมตร แล้วก็จะไม่ดังต่อแล้ว แต่เจ้าตัวนี้จะตรงกันข้าม คือเสียงที่ออกมาใกล้ๆอาจจะไม่ดัง แต่พอไปฟังไกลๆจะดังมาก แล้วก็มีอีกตัวคือ Gibson รุ่น Chet Attkins  แล้วก็มีอีกตัวเป็นกีต้าร์ ฟลามิงโก้ เป็น cut away ของ yamaha

GT : มีมือกีต้าร์ที่ชอบคนไหนบ้างครับ
Hucky : เยอะมากๆ (หัวเราะ) ถ้าเป็นมือกีต้าร์แจ็ส ผมชอบ Pat Metheny ,Joe Pass,Barney Kessel ,John McLaughlin ,Paco Delucia ส่วนคลาสสิกมีคนที่ชอบแต่น้อยคนรู้จักเป็นมือกีต้าร์จากเยอรมัน Frank Bungarten เขาจะมีซีดีอยู่ชุดนึง เล่นเพลงของ Bach ดีมาก ส่วนมือกีต้าร์ร็อกที่ชอบตั้งแต่เด็กๆเลยก็คือ Alvin Lee จาก Ten Years After แล้วก็อีกคนคือ Martin Taylor

GT : คำถามสุดท้ายแล้วครับ มีอะไรอยากฝากถึงน้องๆที่เล่นกีต้าร์ครับ
Hucky :  ก็อย่างแรกเลยที่พูดมาเมื่อกี้คือ “ห้ามกลัวกีต้าร์” (หัวเราะ) ห้ามกลัวดนตรี ทุกคนเล่นเล่นได้ สำคัญที่สุดคือ ต้องสนใจ และต้องมีการซ้อม ต้องซ้อมเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่า ซ้อมอาทิตย์นึง แล้วเว้นอีก 2 อาทิตย์ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องดนตรีแพงๆ แต่ขอเป็นเครื่องดนตรีที่เล่นแล้วสะดวกมากกว่า ยิ่งการไปดูคอนเสิร์ตพลงคลาสสิกแล้ว ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องแต่ตัวหรูๆ หรือเป็นสมาชิกไฮโซ เป็นคนธรรมดาเนี่ยะแหละ ใส่กางเกงยีนก็ได้ อย่าง John Williams เขาเป็นมือกีต้าร์ที่ดังมากๆ แต่เขาไม่ยอมใส่สูทเล่นคอนเสิร์ต ถ้ามีการให้ใส่สูท เขาจะไม่เล่นเลย  (หัวเราะ) ต้องพยายามเล่นอะไรที่เป็นไอเดียของเราเอง  อย่าพยายามก็อปปี้คนอื่น และก็ใช้ดนตรีให้เป็นยาด้วย เครื่องดนตรีทุกเครื่องมันสามารถเป็นเพื่อนคุณได้  เวลาเราเครียดหรือมีอะไร เราสามารถคุยกับเขาได้ ดนตรีช่วยได้แน่นอน และไม่ต้องคิดว่าเล่นดนตรีเพื่อแข่งขันกับคนอื่น ไม่จำเป็นต้องเล่นให้เร็วกว่าเขา เพาะมันจะไม่มีความหมายเลย  ควรเล่นในสิ่งที่เราชอบมากกว่า ทุกคนคิดไม่เหมือนกันในโลกนี้


any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket