Home | Login | คอร์ด/เนื้อเพลง | Webboard | Classifieds | Music Jobs (หางาน) | TV / Video









(เพจ: โรงเรียนกีตาร์ไทย)


(เพจ: Guitarthai.com)
  ผมเข้าใจเกี่ยวกับbufferถูกไหมครับ  
 
ผมมีclean buffer วางไว้เป็นตัวสุดท้าย ไม่ว่าสายแจ็คจากกีต้าร์เข้าefxยาวเท่าไหร่ สายพ่วงเอฟเฟคถึงเอฟเฟคจะยาวเท่าไหร เมื่อผ่านclean buffer ละเข้าแอมป์เสียก้อจะไม่ดรอปใช่ไหมครับ ปล.บอร์ดเป็นtrue bypass ทุกก้อนนะครับ ขอบคุณครับผม


thammatat   7 ม.ค. 57   เวลา 20:03:00       พิมพ์   แจ้งลบ      IP = 110.168.234.101
 


  คำตอบที่ 1  
 
กรณีของคุณ เปรียบเหมือนวันสงกรานต์
คุณเดินเข้าซอย ก็เจอทั้งน้ำ แป้ง สี ยาสระผม ฯลฯ
มาตลอดทาง กว่าจะไปถึงบ้านที่อยู่ท้ายซอย
แล้วคุณก็ล้างหน้าล้างตา (buffer) ก่อนเข้าบ้าน
พอเข้าบ้านไป ทุกคนในบ้านก็จะรู้หมดว่าคุณผ่านการ
เล่นสงกรานต์มา เพราะยังไงก็แล้วแต่ สภาพของคุณ
ก็ไม่เหมือนก่อนเดินเข้าซอย

จริงๆ เรื่อง buffer พิมท์แล้วมันจะยาว ว่ากันตั้งแต่
pickup จนไปจบกันใน head amp ก่อนออกลำโพงเลยครับ

   tnaw  7 ม.ค. 57   เวลา 21:08:00    IP = 110.171.84.145
 


  คำตอบที่ 2  
 
ยกตัวอย่างเห็นภาพเลยครับ

   สมาชิกแบบพิเศษ      ballmoo      7 ม.ค. 57   เวลา 21:33:00    IP = 27.55.225.166
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 3  
 
@tnaw ขอบคุณครับพี่ ยังงี่ผมควรวางไว้ตำแหน่งไหนครับ ผมมีod2 แตก2 วาว deley ประมาณนี่ครับ
@ballmoo เห็นชัดเลยครับ แหะๆ

   thammatat  7 ม.ค. 57   เวลา 22:06:00    IP = 101.108.227.158
 


  คำตอบที่ 4  
 
วิธีแก้ไม่ให้เปียกน้ำวันสงกรานต์
1. ย้ายบ้านไปอยู่ต้นซอย( cable, patch cord สั้นๆ) หรือ
2. ซื้อรถยนต์(buffer)นั่งเข้าบ้าน ทีนี้ก็หล่อไปจนถึงบ้าน ถ้าคุณจอดแวะแค่กลุ่มเล่นน้ำ
แล้วเข้ารถกลับบ้าน คุณก็จะเปียกแต่น้ำเวลาไปถึงบ้าน แต่ถ้าคุณจอดแวะทั้งกลุ่มเล่นน้ำ
และเล่นแป้ง คุณก็จะเปียกและเปื้อนแป้งเวลาเข้าบ้าน ถ้าเป็นผมก็จะโดนทั้งเหล้าสี เหล้าขาว
กระยางแดง ถั่วคั่ว ลาบ น้ำตก โน้นแหล่ะ 3 ทุ่มกว่าจะถึงบ้าน 555

แต่..... เอาไว้มาพิมท์ต่อ ถ้าอยากอ่านเพิ่มครับ
บอกแล้วว่า อย่าให้เหล้า มันเปลืองโซดา!!


   tnaw  7 ม.ค. 57   เวลา 22:34:00    IP = 110.171.84.145
 


  คำตอบที่ 5  
 
@tnaw อยากอ่านต่อครับพี่ความรู้ใหม่ทั้งนั้น ไม่นึกว่าจะมีอะไรละเอียดอย่างนี้ครับขอบคุณพี่มากๆครับ รออ่านต่ออยู่นะครับ จัดเต็มมาเลยครับพี่

   thammatat  7 ม.ค. 57   เวลา 23:21:00    IP = 101.108.227.158
 


  คำตอบที่ 6  
 
ชักง่วงนอนแล้วซิ เดี๋ยวถ้าไม่จบ พรุ่งนี้สายๆ จะพิมท์ต่อให้ครับ? OK

ผมทิ้งท้ายไว้ด้วยคำว่า แต่... ?
ว่าแต่เข้าใจความหมายของ tradition sound หรือความเคยชินมั้ยครับ?
ไม่สนคำว่าถูกหรือผิด รู้แต่ว่ามันเคยชิน มันต้องเป็นแบบนี้
เช่น วันสงกรานต์ ทุกคนควรจะเปียก มากบ้างน้อยบ้าง ก็ว่ากันไป
ใครไม่เปียกซิ แปลก!
และในโลกของอุปกรณ์ของกีต้าร์ เป็นอะไรที่บ้าบอที่สุดในโลก ผมไม่รู้ว่าเครื่องดนตรีชนิดอื่น
เป็นแบบนี้บ้างมั้ย เพราะไม่เคยคลุกครีกับเครื่องดนตรีชนิดอื่นมากเท่ากีต้าร์
ผมแบ่งอุปกรณ์ต่อพ่างของกีต้าร์เป็น 2 กลุ่มใหญ่
1. นักดนตรีกีต้าร์ที่ผันตัวมาทำอุปกรณ์สำหรับกีต้าร์ เช่น Seymour Duncan
2. นักอิเล็คโทรนิคส์ที่ผันตัวมาทำอุปกรณ์สำหรับนักดนตรี เช่น DiMarzio
ส่วนนักดนตรีที่จบวิศวะกรแล้วมาทำอุปกรณ์ขาย มีน้อยมาก นึกไม่ค่อยออก
เพราะฉนั้น เวลาเราเลือกอุปกรณ์มาพ่วง อย่างเช่น buffer มาใช้งาน แค่คนละ brand
แต่เสียงดันไม่เหมือนกัน และประกอบกับคำว่า Tradition Sound จึงทำให้
เรานั้นเขวไปว่า ควรจะวางตรงตำแหน่งไหนถึงจะใช่ และในที่นี้ คำว่าใช่
กับคำว่าถูกหลัก มักจะไม่ถูกใช้พร้อมกัน!
หน้าที่หลักๆ ของ buffer คือการแปลง Impedance(ซึ่งที่ผ่านมา ผมยังไม่ได้เอ่ยถึง)
จาก Hi Imp ให้เป็น Low Imp และขยายกระแส (Ampere)
Gain Boost คือการขยาย Voltage ให้มีเสียงดังมากขึ้น แต่การขยาย Ampere
นั้นทำให้เสียงมีความหนา ใหญ่ ขึ้น ลองนึกถึง เด็กน้อย ที่เราต้องเลี้ยงให้เขาสูงขึ้น(volt)
แต่ถ้าเขาสูงได้ระดับเกรณ์มาตรฐานแล้ว เราก็ต้องสร้างกล้ามให้เขาดูบึกบึน(Amp) สมส่วน
ไม่ใช่ สูงแต่ผอมขี้กร้าง
และอีกอย่าง คนทำอุปกรณ์ เขาไม่ทราบหรอกว่า คนที่ซื้อของเขาไปใช้งาน จะนำไปต่อพ่วง
กับอะไรบ้าง? หรือไม่ต่อพ่วงอะไรเลย? อย่างเช่น head amp นั้น ภาคสุดท้าย
ก่อนออกจาก Pre-Amp ไปเข้า Power Amp เขาจะใส่ buffer เข้ามาขั้นกลางก่อนครับ
ด้วยเหตผลข้างต้นที่ผมบอกไว้ เพราะฉนั้น ใช้หรือไม่ใช้ buffer เราก็ต้องถูกบังคับให้ใช้
อยู่ดี ในส่วนของ Head Amp
ชักง่วงแล้ว ผมจะให้ดูรูปเอาไว้ มันเป็นวงจรเสมือน(Virtual Circuit) ของสาย Cable
ที่เราใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้ สายยิ่งยาว ค่า Z Imp(ผลรวของ L Imp + R Imp + C Imp)
ก็จะยิ่งมากขึ้น
ค่านี้มีผลอย่างไร?
L Impedance = delay มากขึ้น
R Impedance = signal loss
C Impedance = Hi Frequency bandwidth loss

เดี๋ยวพรุ่งนี้มาว่ากันต่อถึงเรื่อง Buffer ที่เกี่ยวของกับ Impedance
ตแนนี้ผมง่วงมากแล้ว เดี๋ยวเบลอ พิมท์ผิด พิมท์ถูก


   tnaw  8 ม.ค. 57   เวลา 0:13:00    IP = 110.171.84.145
 


  คำตอบที่ 7  
 
@tanw ผมเห็นด้วยเลยครับพี่เวลาเรียงเอฟเฟคเวลาวางไว้หน้านู้นวางไว้หลังตัวนี้เสียงไม่เหมือนกัน หรือใช้ก้อนที่เป็นbufferเยอะๆก้อดรอป ก้อมีก้อนtrue bypassออกมาให้เลือกใช้ แต่ถ้าทั้งบอร์ดเป็นทรูบาสพาสเสียงก้อดรอปอีกโอ๊ยๆ อะไรกันนี่ฮ่าๆผมว่ามันละเอียดอ่อน(ผมก้อว่าไป) ยังไงผมขอบคุณพี่มากๆอีกครั้งนะครับสำหรับความรู้แน่นปึ๊ก ผมจะรออ่านต่อครับผม

   thammatat  8 ม.ค. 57   เวลา 7:35:00    IP = 101.108.227.158
 


  คำตอบที่ 8  
 
สุดยอดเลยครับ ได้ความรู้มากๆครับ

   Bring it Back      8 ม.ค. 57   เวลา 10:15:00    IP = 203.148.162.197
 


  คำตอบที่ 9  
 
อยากถามเรื่องนี้อยู่พอดีเหมือนกันครับ
อยากถามว่าถ้าเรามี buffer ตัวแรก กับbuffer ตัวสุดท้าย เสียงจะมาเต็มเหมือนเดิมไหมครับ จากที่ผมใช้อยู่ตอนนี้คืิอ ใช้ Tc flashback ไว้ท้ายสุดแล้วปรับเป็น buffer แต่เสียงรู้สึกว่าแหลดจะหายไปนิดๆ เมื่อเทียบกับกีตาร์เข้าแอมป์เลย

หรือว่าถ้าใช้ตัวแบบในรูปจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ตรงจุดกว่าครับ ?

   สมาชิกแบบพิเศษ      GuitarConner      8 ม.ค. 57   เวลา 10:23:00    IP = 1.1.220.227
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 10  
 
ลืมไปว่า วันนี้วันพระ เลยอยู่ช่วยแฟนผมจัดโต๊ะหมู่บูชาพระที่บ้าน เพิ่งจะแล้วเสร็จ

มาว่ากันต่อถึงสาย cable
อุปกรณ์ analog passive electronics จะมี virtual circuit แบบ คต6 เหมือนกันหมดครับ
เพราะฉนั้น เวลาซื้อสาย cable ถูกๆ มาใช้งาน เราจะถูกยัดเยียดค่า C และค่า R มาให้เราใช้ด้วย
ส่วนสายมาตรฐาน จะมีค่าพวกนี้แผงเข้ามาต่ำมากๆ ทำได้ได้เสียงที่ใส คม ชัดกว่า สาย cable ถูกๆ ครับ

ที่นี้มาพูดถึง pickup กันว่า ทำไมมีค่า Impedance ที่สูง แล้วยิ่งค่า imp สูงๆ มันยิ่งเป็นของ
แสลงกับสาย cable ยาวๆ เพราะจะทำให้ความถี่ย่านเสียงสูง drop ตามไปด้วย

จริงๆ ควรให้คนทำ pickup ขายมาอธิบายจะดีกว่า ว่า pickup ทำงานอย่างไร? 555
เอาเป็นว่า ผมจะเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ นึกอะไรได้ก็จะพิมท์ให้อ่านกันครับ

สิ่งแรกที่ต้องรู้คือ กฎมือขวา ถ้าเรากำเส้นลวดด้วยมือขวา โดยยกนิ้วโป้งขึ้น นั่นคือ
1.ถ้าเราจ่ายไฟฟ้า ให้มีทิศทางไปทางนิ้วมือขวา จะเกิดเส้นแรงแม่เหล็กขึ้นรอบเส้นลวด
โดยมีทิศทางตามนิ้วทั้งสี่ที่เหลือครับ
2. และเหมือนกันคือ ถ้าเรานำเส้นลวดมาตัดผ่านเส้นแรงแม่เหล็ก เราก็จะได้กระแสไฟฟ้า
ออกมาจากเส้นลวด ตามทิศทางที่ตัดเส้นแรงแม่เหล็ก

เรานำผลลัพท์ของทั้ง 2 ข้อนั้นมาผลิตอุปกรณ์
ตามข้อ 1 ก็พวกดอกลำโพง เราจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ voice coil โดยมีแม่เหล็กอยู่กับที่
ทำให้ voice coil ขยับไปมาตามทิศทางกระแส
ตามข้อ 2 ก็พวก transducer เช่น microphone อันนี้เราให้เสียงมากระทบกับ
frame ของ transducer ทำให้ voice coil ขยับไปมา โดยมีแม่เหล็กอยู่กับที่
ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าออกมาจาก voice coil

ส่วน pickup นั้น การทำงานเกือบจะเหมือนข้อ 2 เพียงแต่ว่าทั้งแม่เหล็กและขดลวด
อยู่กับที่ทั้งคู่ สิ่งที่เคลื่อนไหวนั้นคือ magnetic field ซึ่งถูกรบกวนโดยสายกีต้าร์
ที่สั้นไปมา เพราะสายกีต้าร์นั้นถูกเชื่อต่อกับ ground นั่นเอง นั่นเป็นเหตผลที่ว่า
ทำไมเราตะโกนใส่ pickup ถึงไม่ได้ยินเสียงอะไรออกมาจากตู้แอมป์

เดี๋ยวมาต่อครับ


   tnaw  8 ม.ค. 57   เวลา 11:03:00    IP = 110.171.84.145
 


  คำตอบที่ 11  
 
คุณ guitarconner ครับ buffer นั้น ก็เหมือนเราเลี้ยงเด็กตาม คต6
เพียงแต่ว่า เราจะมาสร้างกล้ามทีหลังสุด หรือจะค่อยๆ สร้างเสริมเข้าไป
เรื่อย ซึ่งสุดท้ายแล้ว ก็ขอให้เขามีรูปร่างสมส่วนพอดี อะไรที่เยอะเกินไป
มันก็มักจะไม่ค่อยดี เดินสายกลางดีที่สุดครับ เดี๋ยวผมสรุปให้ฟังใน
บทสรุปตอนสุดท้ายให้ฟังก็แล้วกันนะครับ

ผมว่า คนที่คิดค้น pickup เป็นคนแรก ขอแค่ให้มัน work และทำงานได้
เขาก็ดีใจสุดๆ แล้วครับ ด้วยองค์ความรู้ที่มีอยู่ทำให้ทราบว่า ยิ่งค่า coil
(inductance) มีค่ามากเท่าไร แล้วนำเส้นแรงแม่เหล็กมาตัดผ่าน เราก็จะได้
มากขึ้นเป็นเท่านั้น แต่แวดวงของคนทำ pickup นั้น ทราบดีว่า ยิ่งใช้เล้นลวด
ยิ่งโตมาทำขดลวดของ pickup ก็จะได้ความเป็น music มากขึ้นตามไปด้วย
แต่ด้วยข้อจำกัดของขนาดและความต้องการค่า ขดลวดที่สูงๆ ทำให้ต้องใช้เส้นลวด
ที่เล็ก จึงมีผลทำให้เกิดค่า impedance สูงตามไปด้วย ด้วยเหตนี้นั่นเอง

และ Mr. Rob Turner เจ้าของ EMG Pickup ก็รู้เหตผลข้อนี้ดี เขาจึงพัน
pickup ด้วยเส้นลวดที่เบอร์ใหญ่ และใช้ ขนาด pickup ตามปกติทั่วไป
จึงทำให้ emg pickup ของเขามี impedance ที่ต่ำและ output ก็ต่ำตามไปด้วย
แต่เสียงที่ได้เต็มไปด้วยความชัดเจนของ harmonics ซึ่งเขาแก้ปัญหาด้วยการ
ใส่วงจร preamp เข้าไปใน pickup นั่นจึงเป็นทีมาของ active pickup
ที่มี impedance ต่ำ มีความเป็น music และมี ouput ที่แรงด้วย เรียกว่า wi-win

แต่... กว่า EMG pickup จะเกิด เรากีมีและจดจำพิมท์เขียวของเสียงกีต้าร์ หรือ
tradition sound กันไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้บอกไม่ได้ว่า เราควรจะใช้ pickup
แบบเก่า หรือ active pickup กันดี
มันก็เหมือนเราสร้างพิณขึ้นมา รูปร่างมันก็คือพิณแต่เสียงดันเป็นเสียงกีต้าร์ ทุกคนก็จะบอกว่า
มันไม่ใช่พิณ มันคือกีต้าร์ต่างหาก 555

เดี๊ยวมาสรุปสุดท้ายกันครับ


   tnaw  8 ม.ค. 57   เวลา 11:53:00    IP = 110.171.84.145
 


  คำตอบที่ 12  
 
tnaw <<< ขอบคุณมากครับพี่

   สมาชิกแบบพิเศษ      GuitarConner      8 ม.ค. 57   เวลา 13:16:00    IP = 1.1.220.227
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 13  
 
@tnaw เห็นภาพชัดๆเลยครับพี่:)

   thammatat  8 ม.ค. 57   เวลา 17:40:00    IP = 49.230.118.114
 


  คำตอบที่ 14  
 
แปะหน่อย ความรู้เน้นๆ ท่าน tnaw สุดยอดจริงๆครับ

   Gap1027      8 ม.ค. 57   เวลา 18:25:00    IP = 171.7.96.82
 


  คำตอบที่ 15  
 
สุดยอดเลยท่าน tnaw



ติดตามๆ

   MentalDisease      8 ม.ค. 57   เวลา 19:08:00    IP = 171.7.179.45
 


  คำตอบที่ 16  
 
มาสรุปกันครับ
ด้วยควมยอดเยี่ยมของ active pickup ทำให้ใช้งานกัยสาย cable ได้ดี
โดยที่ไม่ทำให้ย่านเสียงสูง drop และยังมีความแรงของสัญญาณที่สั่งได้อีกด้วย
ผมว่าถ้านำมาใช้คู่กับ balance output (xlr) จะยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก ใช้สายยาว
50 เมตรสบายๆ ตามหลักทรษฏี
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเสียงแล้ว หูมนุษย์ดูจะมีความยอดเยี่ยมกว่าเครื่องมือวัดใดๆ ทั้งสิ้น
ถ้าใครเคยตบแต่งเสียงที่เป็นรูปคลื่น(wave) เราจะเห็นเป็นแบบ 2 มิติ คือแกน X กับแกน Y
รูปคลื่นสูงๆ ต่ำๆ แต่จริงๆ แล้ว รูปคลื่นเสียงนั้น เป็นลักษณะ 3 มิติ มีแกน Z ด้วย
มองไปก็คล้ายก้อนเมฆ ถ้าใครเคยอ่าน spec ของดอกลำโพง มันจะมีค่า THD
คือ Total Harmonics Distortion ซึ่งเขาจะทดสอบโดยปล่อยสัญญาณเสียงทุกย่าน
ความถี่อกกมาพร้อมๆ กัน ซึ่งลำโพงดังๆ จะมีรูปคลื่นแบบ 3 มิติให้ดูด้วย บ่อยครั้งที่
เครื่องมือวัดบอก spec ได้สุดยอด แต่ถ้ามนุษย์ฟังแล้วไม่ใช่ ยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่ดี
แต่ภ้าวัดแล้ว spec ออกมาไม่ดี แต่คนฟังแล้งใช่ มันก็คือใช่ แปลกมั้ย?
ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างผมมั้ย พออ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วอยากอ้วก ด้วยว่ามันมีข้อมูลยิบหย่อย
เต็มไปหมด เพราะฉนั้นพออ่านมาถึงบรรทัดนี้ ขอให้ทุกท่านลืมๆ ไปบ้าง แล้วก็จัดอุปกรณ์
และใช้หูเราเองนี่แหล่ะ ตัดสินเอาว่าใช่หรือไม่ใช่ ผมเองทุกวันนี้ผมก็ไม่ใด้สนใจหลักการหรอก
นึกอยากต่อยังไง จัดเรียงยังไง ก็ทำเลย เผื่อว่าคนอื่นบอกว่าไม่ดีแต่เราชอบซะอย่าง
มันก็ไม่มีปัญหาอะไร เช่นบอกว่า พวก mod fx ไม่ควรวางไว้ต้นทาง ผมก็เคยลองทำ
ด้วยความที่อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือไม่
สุดท้ายก็ขอให้ทุกท่านเจอชุดที่ใช่ ถ้ามันตันๆ ก็ลองงัดเอาข้อมูลที่ผมเล่ามาทั้งหมด
มาลองประยุกต์ใช้เข้าไปด้วยก็ได้ครับ แล้วเราก็จะเล่นแบบมีความสุข

เกี่ยวกับระบบเสียง ผมว่ามันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องใช้ประสบการณ์ซึ่งบางทีมัน
พูดหรือเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือไม่ได้ อย่างเช่นช่างแกะสลักไม้ แกะสลักรูปอะไรก็ได้
แต่ให้เขาบอกออกมาเป็นคำพูดไม่ได้หรอกว่า เขาต้องจับสิ่วแน่นแค่ไหน แล้วตอนที่เขา
ตอกค้อนลงไปต้องใช้น้ำหนักเท่าไร เพื่อให้สิ่วมันกินเนื้อไม้ลงไปเท่านั้น เท่านี้
เคยลองฟังเระบบเสียง PA มั้ยครับ เราจะเจออยู่บ่อยๆ ว่า เสียงมันก็ดังเท่าๆ กัน
แต่ทีมงานที่ต่างกัน คนที่ปรับเสียงไม่เอาอ่าว ทำยังไงเขาก็ปรับไม่ได้เรื่องอยู่ดี แต่บางทีมงาน
เสียงมันจะแน่น กระชับ ยิ่งฟังก็ยิ่งอยากอยู่ฟังต่อ ทั้งๆ ที่ก็ดังพอๆ กัน เพลงก็เพลงเดียวกัน

   tnaw  8 ม.ค. 57   เวลา 19:44:00    IP = 110.171.84.145
 


  คำตอบที่ 17  
 
หลับมาอ่านบทสรุป














ยอดเยี่ยมครับท่าน tnaw


ขอบคุณมากๆ

   MentalDisease      8 ม.ค. 57   เวลา 22:13:00    IP = 171.7.179.45
 


  คำตอบที่ 18  
 
@tnaw ขอบคุณมากครับพี่เป็นประโยชน์กับผมมากๆ ไว้จะมาขอความรู้อีกนะครับพี่อิอิ

   thammatat  8 ม.ค. 57   เวลา 23:27:00    IP = 101.108.227.121
 


  คำตอบที่ 19  
 
ความรู้ๆ ขอบคุณมากครับ

   Sharper      9 ม.ค. 57   เวลา 23:10:00    IP = 223.205.248.235
 


  คำตอบที่ 20  
 
ขอบคุณมากครับบบบ

   สมาชิกแบบพิเศษ      blackhold      14 มี.ค. 57   เวลา 15:24:00    IP = 61.91.109.207
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 21  
 
ขอบคุณครับสำหรับความรู้

   upzindome      15 มี.ค. 57   เวลา 14:04:00    IP = 49.230.138.190
 


  คำตอบที่ 22  
 
cxt

   FullMetal      19 ต.ค. 58   เวลา 18:37:00    IP = 58.8.155.138
 


  คำตอบที่ 23  
 
แปะ

   Morrison      21 พ.ย. 58   เวลา 17:23:00    IP = 182.52.178.177
 


  คำตอบที่ 24  
 
ได้ความรู้มากเลยครับ

   The Naive  6 ธ.ค. 58   เวลา 1:06:00    IP = 125.25.112.165
 


  คำตอบที่ 25  
 
ได้ความรู้มากเลยครับ

   The Naive  6 ธ.ค. 58   เวลา 1:15:00    IP = 125.25.112.165
 
 

Bigtone.in.th Online Music Store

Yamaha



ตั้งกระทู้ Login ก่อน Click ที่นี่
ผู้ตอบ :
รูปภาพ:  ( ไม่เกิน 150 K )
ข้อความ :
 

any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket