|
ในแง่ของความสะดวกสบายรอบด้านยังไงซะตระกูล GT ก็เอื้อต่อการเล่นสด และเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆได้มากกว่าตระกูล ME อยู่แล้วล่ะครับ แต่ ME-80 ก็พัฒนาแก้ไขฟังก์ชั่นในการใช้งาน FX ให้รวดเร็ว และหลากหลายยิ่งขึ้นกว่า ME รุ่นก่อนๆมาก
ผมว่าถ้าเล่นแบบ Manual หรือการเล่น ปิด - เปิด แบบก้อน เจ้า ME-80 ถือเป็นมัลติอันดับต้นๆเลยที่ใช้งานง่าย ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถเรียง Effect ได้อิสระ แต่ก็แก้ไขหน้างานได้รวดเร็วไม่แพ้ยี่ห้ออื่นๆ จริงๆผมว่าเร็วที่สุดในบรรดามัลติ ( ราคากลางๆด้วยกัน ) ณ เวลานี้เสียด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ต้องเข้าเมนูให้วุ่นวาย ลงไปก้มๆ , เขี่ยๆ , หมุนๆ , ปรับๆ ไม่กี่อึดใจก็ได้เสียงที่ถูกใจ และค่อนข้างดีในระดับที่ใช้งานได้แล้วครับ
แถมโหมดเล่นแบบ Memory ( เล่นรวมเสียงแบบมัลติ ) ก็สะดวกขึ้นมาก เพราะมีปุ่ม CTL มาให้ 1 ตัว เราสามารถเลือก ปิด - เปิด FX ได้มากกว่า 1 ชนิดใน 1 Preset ได้อีกด้วย และสามารถสลับจากโหมด Memory เป็น Manual ได้เร็วกว่า และหลากหลายกว่าตระกูล GT ซะด้วยซ้ำ รุ่นนี้จะต่างจากรุ่นก่อนๆตรงที่สามารถเลือกใช้ MOD , Delay ได้มากกว่า 1 ตัวใน 1 Preset , สามารถปรับแต่ง EQ แยกต่างหาก จาก Amp Modeling ได้แล้ว และเปิดใช้งานพร้อมๆกันได้ ( ใน ME-70 ถ้าจะเลือกฟังก์ชั่นเป็น EQ จะใช้ Amp Modeling ไม่ได้ ต้องเลือกมาอย่างใดอย่างนึง ) และรุ่นนี้สามารถอัด Loop ไว้และสั่ง เปิด - ปิด Delay ได้แล้ว ( เพราะมี Delay อีกตัวในหมวด FX2 หลังจากที่เรานำ Delay ตัวหลักไปใช้เป็นฟังก์ชั่น Phrase Loop แล้ว )
มาว่ากันถึงเรื่อง Sound ( ขอพูดถึงเฉพาะเสียงแตกนะครับ เพราะ MOD หรือ Delay ต่างๆก็คล้ายๆกับรุ่นที่ผ่านๆมา ) แน่นอนครับว่า ME-80 ก็ยังคงความเป็นมัลติตามสไตล์ Boss เช่นเคย อย่าได้คาดหวังว่า Sound จะมี Quality เทียบเท่าก้อนจริงๆ แต่ถ้าถามว่าเสียงเป็นอย่างไร ผมขอตอบตามความรู้สึกผมว่า " ดีมากครับ " เสียงแตกฟังออกมาชัด , สะอาด , ไม่จม ส่วนพวกหัว Amp ต่างๆก็ฟังดูดีขึ้นครับ ปรับแต่งได้กว้างขึ้นมาก แต่ส่วนตัวผมว่าฟังก์ชั่น Amp Modeling นี้ก็ยังเทียบกับตระกูล GT ไม่ได้อยู่ดีครับ มันยังยืดหยุ่นไม่พอ แต่ถ้าเลือกใช้เสียง Amp แบบคลีนๆ หรือแตกอ่อนๆก็พอไหวครับ แก้ปัญหาเวลาที่ต้องเล่นแบบต่อเข้า Mix ตรงๆได้สบายๆ ถ้าเป็นพวก High Gain อาจจะต้องนั่งปล้ำกันซักพัก ถ้าเล่นกันขำๆก็พอทนได้ครับ 55+
หากเปรียบเทียบกับ ME-80 กับ GT-10 ในเรื่องของเสียงแตกสิ่งที่เห็นได้ชัดเลย คือมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไดนามิกต่างๆดีขึ้น ผมว่าตั้งแต่ GT-100 เป็นต้นมา Boss มาได้ถูกทางเลย เล่นสนุกมือขึ้นเยอะ ที่เหลือก็คงต้องรอให้ทาง Boss พัฒนาเรื่องเสียงให้สมจริงขึ้นอีกนิด ( ผมว่าจริงๆเขาทำได้นานแล้วล่ะแต่กั๊กไว้ -*- ) แต่ถ้าพ่วงแตกก้อนเข้าไปผมว่าก็จบได้แบบเหลือๆครับ จริงๆจะว่าไปลำพังแค่ ME-80 ตัวเดียวก็เพียงพอแล้วครับ เวที เล็ก - ใหญ่ เอาอยู่หมดถ้าตู้ค่อนข้างได้มาตรฐาน ...
ขอเสียอย่างเดียวที่ผมไม่ชอบเลยบน ME-80 ก็คือฟังก์ชั่น Boost เพราะมัน Boost เสียงคลีนดังกว่าเสียงแตก ( มาก ) คือผมพยายามปรับแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ Set ยังไงก็ไม่ Balance ซะที ( หรือว่าผมปรับไม่เป็นเองก็ไม่รู้ ) แต่ตอนสมัยที่ผมใช้ ME-80 ผมใช้ Compressor ยกระดับเสียงเอาครับ ก็พอใช้แทนกันได้ แต่ส่วนตัวผมไม่ชอบการใช้ Comp มา Boost ซักเท่าไหร่ เพราะมันดูจะใช้งานผิดประเภทไปหน่อย ถ้ามันมีฟังก์ชั่น Boost แยกออกมาเลยจะสมบรูณ์มากๆครับ จะได้ใช้ Comp ร่วมกับการปรับแต่งเสียงบางอย่างได้บ้าง
สรุปถ้าเน้นใช้งานง่ายต้อง ME-80 ครับ แต่ถ้าเน้นครบเครื่องก็คงต้องเขยิบไป GT-100 แล้วล่ะครับ แต่จริงๆ GT-100 ก็ใช้งานง่ายนะครับ และโหมด Manual ก็สูสีกับ ME-80 เลย เพียงแค่มันเปลี่ยน Preset ช้ากว่านิดหน่อยเท่านั้น เรื่องการปรับแต่งหน้างานถ้าเข้าใจก็สามารถปรับแต่งได้ทันท่วงทีครับ ( แต่คงสู้ ME-80 ไม่ได้ในแง่ของความรวดเร็วเวลาตั้งค่า และ Flat กว่า )
ประมาณนี้นะก๊าบบบบบบบบบ ^^ สำหรับ ME-80 ถ้ามีตรงไหนตกหล่นไป หรือมีแง่มุมไหนที่ไม่ถูกไม่ควร กระผมกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพราะทั้งหมดเป็นเพียงมุมมองของผม ที่เหลือก็คงอยู่ที่หูของคุณแล้วล่ะครับ ที่จะมาตัดสินว่า ME-80 ดีจริงหรือไม่ ( ปัจจุบันผมไม่ได้ใช้รุ่นที่กล่าวๆมาแล้ว ... )
kuy13
3 มี.ค. 58
เวลา 14:40:00 IP = 49.49.251.125
|
|
|