(เพจ: โรงเรียนกีตาร์ไทย)


(เพจ: Guitarthai.com)
  ....เคล็ดลับการมิกซ์เสียง 10 ประการ ที่ควรเรียนรู้และจดจำเพื่อนำไปปฏิบัติ.....  
 
เคล็ดลับการมิกซ์เสียง 10 ประการ
ที่ควรเรียนรู้และจดจำเพื่อนำไปปฏิบัติ
บทที่ 1 ใช้แหล่งเสียง MONO ( Use MONO sound sources )
Use MONO Sound Sources
Use MONO Sound Sources

บันทึกเสียงด้วย MONO ในการบันทึกคุณอาจคิดว่ามันไม่น่าตื่นตาตื่นใจเหมือน Surrond sound รอบทิศทาง หรืออาจสู้ Stereo แบบหมุน Panoramic ไม่ได้ ก่อนจะหาผลสรุปกับคำถามเหล่านั้น ถามตัวเองดูก่อนว่า อะไรคือ Sound sources เสียงที่ปล่อยออกมาในธรรมชาติอย่างแท้จริงในระบบเสียง Stereo คุณอาจจะฟังเสียงต่างๆรอบทิศหรือรอบตัวเอง จุดหนึ่งที่เราควรเรียนรู้คือแหล่งกำเนิดเสียงจริงคือ ออกจากจุดกำเนิดเพียงจุดเดียว MONO การบันทึกแหล่งที่มาของเสียงโดยใช้ Stereo มันจะทำให้เสียงจมอยู่ในโพรงในหลุม เกิดความยุ่งยากในการมิกซ์เสียงเป็นอย่างมาก ในทางกลับกันในการบันทึกแบบ MONO มันทำให้เสียงที่ได้ อิ่ม และเต็ม ฟังได้น้ำหนักกว่า Stereo ซึ่งเบามากหากเราบันทึกแบบนั้น ลองฟังเทียบกันดู ( ทดสอบบันทึกทั้งสองแบบ )

สรุปข้อแนะนำในหัวข้อนี้คือ

ลองบันทึกในระบบ Stereo แล้วปรับ ซ้าย – ขวาดูแล้วฟังเทียบกับ MONO
ลองบันทึกด้วย MONO แล้ววางไว้สองแทร็ก โดยให้ปรับแทร็กหนึ่ง Pan ซ้ายนิดหนึ่ง ส่วนอีกแทร็กหนึ่ง Pan ขวานิดหนึ่ง แล้วฟังเทียบดู
วางเสียง MONO คุณจะสามารถเห็น phase กรองเอฟเฟคได้เป็นระยะๆ
คุณสามารถแก้เสียงใดๆที่ขาดหายได้ง่าย
เสียงที่ได้จาก MONO จะได้ความชัดเจนของเสียงมากกว่า Stereo และเคล็ดลับนี้คือเคล็ดลับที่ Sound Engineer ใช้ฆ่ามือสมัครเล่นมามากต่อมากแล้วครับ
บทที่ 2 ผ่อนคลายหูให้อารมณ์แจ่มใสก่อนทำการมิกซ์
หู

การมิกซ์ติดต่อกันเป็นเวลานานเพียงเพื่อจะเร่งจบงานอย่างรวดเร็ว อาจทำให้หูเกิดอาการล้า แล้วจะเกิดความเพี้ยนในการรับรู้ทางประสาทหู หูแว่วบ้างละ หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมันไม่เป็นผลดีกับงานของเราที่จะผลิตออกมา การที่จะทำให้งานมีคุณภาพนั้น อย่าหมกมุ่นกับงานให้มากโดยไม่รู้จักพักผ่อนหู นี่คือจุดอ่อนซึ่งใครหลายๆคนอาจคาดไม่ถึง ยิ่งเมื่อคุณกำลังพยายามฟังเสียง Synth หรือเครื่องดนตรีที่ครอบคลุมสเปกตรัมหลายความถี่ คุณยิ่งมิกซ์นานยิ่งเสียสมาธิไปกับการฟังความถี่ต่างๆทั้งความถี่สูง-กลาง-ต่ำ มันจะทำให้คุณสูญเสียมุมมองที่กว้างขึ้น อาจทำให้งานไร้คุณภาพ

สรุปข้อแนะนำในหัวข้อนี้คือ

อย่าใช้หูฟังนานเพราะจะทำให้หูล้า
อย่าเปิด Moniter ดังมากให้เปิดมิกซ์เบาๆเท่ากับเสียงพูดก็พอแล้ว
มิกซ์กับการอ้างอิง Reference กับงานอื่นๆ และกับเครื่องมืออื่นๆด้วย
พยายามอ้างอิง Reference กับซีดีผลงานของมืออาชีพคนอื่นๆ
หมายเหตุ การดูแลรักษาหูที่ดี คือการหลีกเลี่ยงการฟังเพลงเสียงดังๆ ซึ่งจะเป็นการทำลายประสาทหูอันอาจเกิดปัญหาหูเสื่อม หูอื้อ หูแว่ว จนถึงหูหนวก

บทที่ 3 อันดับแรกเริ่มมิกซโดยเข้าจัดการกับ Bass ร่วมกับ Drum Kick ก่อนสิ่งอื่นใด
Bass
Bass

อันดับแรกก่อนจะมิกซ์คือวาง Bass กับ Kick ไว้ที่กลางเวที ( Center Stage ) กฎนี้เป็นกฎตายตัวที่แทบจะทุกคนที่ต้องปฏิบัติ คุณจะมีความคิดสร้างสรรค์ในการส่ายเครื่องดนตรีชนิดอื่นไปซ้ายบ้าง ขวาบ้าง แต่เบสต้องอยู่กลางร่วมกับกลองเตะ Kick คุณลองคิดดูซิครับว่า หากเบสไปดังอยู่ข้างเดียว อาจจะซ้ายหรือขวา มันจะทำให้รู้สึกว่้า เพลงนั้นมิกซ์มาไม่ Balance กันเลย

สรุปข้อแนะนำในหัวข้อนี้คือ

วางเบสไว้ที่จุดศูนย์กลางร่วมกับกลองเตะ Kick ก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะไปจัดการกับส่วนอื่นๆของบทเพลง

Drum-Kick
Drum Kick

บทที่ 4 ใช้ EQ ตัดความถี่ออก ( ไม่เพิ่มความถี่ )
EQ
EQ

EQ เชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก และเข้าใจไปในทางเดียวว่าเป็นตัวปรับแต่งความถี่ คนที่เล่นเครื่องเสียงส่วนมากจะใช้ EQ ไปในทางเร่งเสียงสูงเสียงต่ำกับความถี่ที่ชื่นชอบ เช่นคนนี้ชอบเสียงเบสเป็นพิเศษ ก็จะเร่ง Boost ที่ความถี่ต่ำขึ้นมาเพื่อให้เสียงเบสดังขึ้น แต่ในหลักความเป็นจริง Sound Engineer ที่ทำงานในงานสตูดิโอจะใช้ EQ เพื่อตัดความถี่ มิใช่เพื่อ Boost อย่างที่คนทั่วไปใช้กัน แม้แต่ Sound Engineer ในภาคสนาม ( live ) ก็ใช้ตัดความถี่เช่นกัน ผมเคยพูดคุยกับพี่มอญซึ่งเป็น Sound Engineer ของพี สะเดิด ตอนที่มาคุมงานคอนเสิร์ตของไผ่ พงศธร ที่อ.พยัคฆภูมิพิสัย เล่าให้ฟังว่า แกใช้ EQ 32 Band เพียงแค่ Cut เอาความถี่ที่เกิดเสียง Hum ออกเพื่อทำให้ ไมโครโฟน ไม่หอน ( ภาษาบ้านเรา ) พี่มอญแกสามารถ Control ได้อยู่หมัดเลยครับ โปรดจำไว้เลยครับว่า EQ โดยพื้นฐานแล้วเป็นตัวกรองความถี่ Filter และขอแนะนำการประยุกต์ใช้เพื่อเสียงสะท้อน Resonance กับการขยับของเฟส phase-shifting ที่จุด cut-off เพียงเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วนี้ การตัด Cut คือตัวเลือกที่ต้องการ ไม่ใช่การ Boost นะครับ การใช้ EQ ในงานสตูดิโอควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะมันเป็นกับดักง่ายๆซึ่งใครหลายคนก็คาดไม่ถึง ใช้มากเกินความจำเป็นอาจเป็นเหมือนดาบสองคม ที่ให้ทั้งคุณและโทษ หรืออาจมีผลทำให้เครื่องดนตรีชนิดนั้นเปลี่ยนเสียงไปเลยก็ได้ ( ยกเว้นการจงใจเพื่อเปลี่ยนเสียงเพื่อให้บรรลุในทางความคิดสร้างสรรค์ )

สรุปข้อแนะนำในหัวข้อนี้คือ

Sound Engineer ในสตูดิโอเขาจะใช้ EQ เพื่อ Cut ตัดความถี่ที่ไม่จำเป็นออกเพื่อพื้นที่โดยรวมจะได้มีพื้นที่เพื่อใส่ให้กับเครื่องดนตรีประเภทอื่น หรือ เพื่อการกำจัดเสียง Hum หรือความถี่ที่ไม่พึงประสงค์ และการใช้เพื่อการบิดเบือนเฟส แต่ไม่ได้ใช้เหมือนกับคนที่เล่นเครื่องเสียงนะครับ คือใช้เพื่อเพิ่มหรือ Boost ความถี่ที่ชื่นชอบให้ดังสะใจตัวเอง ที่ขอให้ดังไว้ก่อนเพื่อให้ข้างบ้านเขาด่าเล่น สรุปสั้นๆคือ EQ ใช้เพื่อแก้ปัญหาในงานสตูดิโอ ไม่ได้ใช้เพื่อสนองตัญหาความชื่นชอบส่วนตัวนะครับ

บทที่ 5 Masking ความถี่เพื่อวางกำบังความถี่
Masking
Masking

ที่จริงในหัวข้อนี้ก็คือการหลีกเลี่ยงการปะทะความถี่กัน ของนักร้องกับเครื่องดนตรีประเภทต่างๆ ในส่วนต่างของบทเพลงในช่วงความถี่ใดความถี่หนึ่งอาจจะมีทั้งเสียงร้อง หรืออาจจะเป็นความถี่ของเครื่องดนตรีสองชนิด ( หรืออาจจะมากกว่า ) อาจจะเกิดการโจมตีกันและกันหรือต่อสู้กันในพื้นที่ของบทเพลง ซึ่งจะทำให้เราฟังไม้รู้เรื่อง และนี่อาจเป็นปัญหาที่พบมากที่สุดของการ Mix เสียงเลยก็ว่าได้ โดยทั่วไปเสียงอาจจะมี ( นอกจากเสียงหลัก ) เสียงฮาร์โมนิคอื่นๆ ที่นำไปสู่การตกต่ำของเสียงในภาพรวม ถ้าสองเสียงร่วมความถี่ที่คล้ายกันอยู่ในบางส่วนหรือบางพื้นที่ในเพลงเดียวกัน ปัญหาเหล่านี้จะต้องทำกำบังความถี่ในการ Mix นั่นหมายความว่าเสียงของเครื่องดนตรีที่แตกต่างกัน แต่ความถี่เดียวกัน ต้องทำการแยกทั้งสองออกจากกัน

Analyse
Analyse

การทดสอบ

นอกเหนือจากอาศัยหูของคุณ คุณอาจใช้เครื่องมือประเภท Analyse เช่น Waves PAZ Analyzer เพื่อดูกราฟความถี่ Peak ในส่วนยอดแหลมๆของของกราฟในเครื่องดนตรีชนิดนั้นๆ แต่ถ้าหากไม่มีเครื่องมือประเภทที่ว่านี้ คุณก็ต้องใช้หูของคุณเองละครับ เพราะไม่มีทางเลือกอื่น และนี่คือเคล็ดลับในการใช้หูฟังเพื่อเช็คดู หากคุณไม่แน่ใจว่าเพลงของคุณมีกำบังคลื่นความถี่ใดที่เกิดขึ้น ขอแนะนำมีดังนี้ครับ

ลองฟังในการ Mix แบบโมโนแทร็ก ตามหัวข้อที่กล่าวเอาไว้ในบทแรกเรื่องการใช้ Mono ในการบันทึก
ระดับของเครื่องดนตรีแต่ละแทร็กแม้แต่นักร้องต้องตั้งไว้ที่ (0dB) แล้ว Pan กวาดไปทางซ้าย – ขวา แล้วฟังดูเพื่อหาความชัดเจนของเสียงประเภทต่างๆ

ความถี่
ความถี่

การแก้ไขปัญหา

การประณีประนอมในความถี่ที่ชนกันในบางช่วงของบทเพลงถือเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุด ดังนั้นเราต้องหันมาพิจารณาทางเลือกที่มีไม่กี่ตัวเลือกเพื่อพิจารณาสิ่งที่ดีที่สุด

Masking Frequency
Masking Frequency

อันดับแรกก็คือลองใช้เสียงแบบโมโนแล้วปรับส่ายไปมาทั้งซ้ายและขวาเพื่อไม่ให้ความถี่ปะทะกันที่จุดใดจุดหนึ่ง
อะไรเป็นเสียงที่สำคัญที่สุด จงให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เช่นเสียงนักร้อง ให้กรองเสียงร้องกับ EQ ก่อน จึงทำกับเครื่องดนตรีประเภทอื่นๆถ้าจำเป็น
เครื่องดนตรีความถี่เดียวกันก็หันไปใช้พื้นที่ส่วนอื่นๆในเพลง เช่นอาจจะสลับช่วงกันไม่ให้เล่นพร้อมกัน เป็นต้น
ถ้าปฏิเสธใช้เครื่องดนตรีมากชิ้นจะเป็นการดี แต่บางครั้งก็เลือกยาก ถ้าคุณตกอยู่ในสถานะการณ์นี้ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ให้พึงโปรดจำไว้อย่างหนึ่งว่าคนป่วยบางครั้งจำเป็นต้องตัดอวัยวะทิ้งเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ให้อยู่รอด เช่นกันบางครั้งถ้าถึงทางตันก็ต้องเลือกที่จะตัดเสียงดนตรีชิ้นนั้นๆออกไปเลย เพื่อผลโดยรวมที่ออกมาดีที่สุด คุณก็ควรที่จะตัดเครื่องดนตรีชิ้นนั้นทิ้งเสียเลย เพื่อเพลงของคุณจะได้ไม่รกรุงรัง ไปด้วยเครื่องดนตรี

Mask Frequency
Mask Frequency

บทที่ 6 EQ กับ Volume
EQ and Volume
EQ and Volume

เคยมีรุ่นพี่คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าก่อนมิกซ์ควรตั้งค่า Volume ของอุปกรณ์ทุกแทร็กไว้ที่ 0dB ไม่ว่าจะเป็น นักร้อง ,เบส , กีต้าร์ ,คีบอร์ด, ฯลฯ ควรตั้ง 0dB ให้หมด แล้วมาฟังว่าสัญญาณเสียงใดอ่อน เราค่อยเพิ่ม สัญญาณเสียงใดดังมากไปค่อยลดตัวนั้น แต่บทนี้เราจะเน้นที่ลดไม่เน้นเพิ่ม แรกเริ่มก่อนจะใช้งานใดๆเกี่ยวกับ EQ หรือ Effect อื่น คุณต้องตั้งค่าปริมาณความสัมพันธ์ของ Volume ในแต่ละอุปกรณ์และลำดับความสำคัญของอุปกรณ์ในเพลงอย่างง่ายๆไว้ก่อน ถ้าคุณต้องไปยุ่งกับ EQ หรือ Effect อื่น โปรดจำไว้ว่าการปรับเปลี่ยนจะมีผลกระทบกับปริมาณต่างๆในแหล่งกำเนิดเสียงที่เราบันทึกไว้ ถ้าคุณเพิ่มหรือลดปริมาณเสียงหลัก main volume level สำหรับอุปกรณ์ที่คล้ายกัน พิจารณาลดความถี่พื้นที่ใดที่หนึ่งของเครื่องดนตรีสำหรับเอกลักษณ์ของ Sound อุปกรณ์นั้นๆ สามารถ Boost สัญญาณเพิ่มประสิทธิภาพ ในฐานะที่เป็น Volume โดยอนุโลม หากคุณ Boost อะไรก็ตามเกิน 5 เดซิเบล อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีจนอาจทำให้คุณต้องบันทึกเสียงใหม่ อย่าใช้ effects เพื่อ boost volumes โดยเฉพาะกับการ compression (การบีบอัด) สัญญาณอินพุทควรจะเป็นเช่นเดียวกับเอ้าท์พุท เช่น Compressor ของคุณ อย่าลืมว่าการบีบอัด compression คือการควบคุม dynamics ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จึงเป็นหลักการที่ว่า ทำไมคุณควรให้ความใส่ใจไปที่การตัด Cut แทนที่จะ Boost ในส่วนที่เป็นไปได้ เพราะถ้าคุณผ่านขั้นตอนของการเริ่มต้นในการตั้งค่าความสัมพันธ์ของเครื่องดนตรีแต่ละประเภทตามที่อธิบายไว้ในวรรคแรกๆ สุดท้ายอย่าลืมว่าความคมชัดในขณะที่เล่นเพลงถือเป็นส่วนสำคัญยิ่งใน Volume การมิกซ์ที่ดีควรปรับ Volume ที่ 0dB หรือให้ลดไว้ก่อนเพื่อทีจะเหลือพื้นที่ไว้สำหรับการทำMastering

สรุปข้อแนะนำในหัวข้อนี้คือ

Volume ควรตั้งไว้ที่ 0dB อย่าเพิ่มโดยการBoostสัญญาณ เพื่อที่จะเหลือพื้นที่ไว้ตอนทำ Mastering สำหรับในส่วนของ EQ หรือ Effect การBoostสัญญาณขึ้นเปรียบได้กับการเพิ่มVolumeไปในตัว สำหรับส่วนนี้จึงอยากให้เน้นที่การ Cutเป็นส่วนใหญ่ หากเราทำการเพิ่มสัญญาณใดๆเกิน5dBขึ้นไป อาจทำให้แหล่งกำเนิดเสียงในแทร็กนั้นเสียหายได้ คุณภาพจะต่ำมากจนอาจต้องบันทึกใหม่ ถ้าเรามิกซ์เสียงด้วยการอัดVolumeซะเต็มMaxเลย ก็จะทำให้เรายุ่งยากและปวดหัวเอามากๆตอนที่เราทำมาสเตอร์ จนบางครั้งอาจจะต้องกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ ซึ่งจะเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ สรุปแบบสั้นๆให้เข้าใจพอสังเขป อย่ามิกซ์ให้ดังจนเกินไป คุณไม่ต้องกลัวหรอกว่าเพลงคุณจะดังสู้ชาวบ้านเขาไม่ได้ เพราะมันยังเหลือขั้นตอนการทำมาสเตอร์อยู่ ซึ่งเราสมารถไปเพิ่มเอาตอนนั้นก็ยังได้

EQ and Volume
EQ and Volume

บทที่ 7 ผสม Effect
Effect
Effect

การผสม Effect ลงไปในขั้นตอนการ Mix เมื่อพูดถึง Effect จริงๆแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว แต่โชคดีที่เราสามารถจัดการกับมันได้อย่างง่ายดายเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการ Mix เสียง ทำไมนะรึ คำตอบก็คือ Effect คือความสนุกเมื่อเราปรับแต่งมัน มันสามารถสร้างสรรค์จินตนาการได้อย่างมากมาย การผสม Effect ไม่ว่าจะเป็น Reverbs กับ Delays สำหรับบางกรณี สามารถบังเกิดผล “over-staying” กับเครื่องมือ โดยเฉพาะถ้าผสมลงไปเยอะๆลงไปหลายๆตัว ถ้าเลยความพอดี มันจะทำให้บทเพลงสูญเสียความละเอียดและความคมชัดถ้าเราไม่ระวัง อย่าลืมว่า contrast ความคมชัดจะหายไปเมื่อเราใช้ Effect มากเกินไป คุณไม่จำเป็นต้องใส่แบบตะบี้ตะบันจนไม่เหลือช่องโหว่ในการมิกซ์กับเอฟเฟค ถ้าหากคุณใช้ Effect เพื่อทำให้เสียงดนตรีส่วนนั้นดีขึ้นควรใช้พอประมาณ เปรียบเทียบกับอาหาร Effect คือผงชูรสให้อาหารใส่น้อยๆก็อร่อย หากใส่มากเกินไปก็เลี่ยน ไม่น่ากิน กินเข้าไปก็อ๊วก.ยกตัวอย่างเช่น Reverbs ใส่ในแทร็กเสียงร้อง หากใส่มากไปจะทำให้เสียงร้องบางมาก เหมือนนักร้องยืนร้องอยู่หลังเวทีโน้น

ข้อแนะนำในบทนี้คือ

ถ้าอยากใช้ Effect เคล็ดลับในเชิงลึกในการใช้งาน Effect เพื่อคุณภาพของงานให้ออกมาดีที่สุด ข้อ 1.เมื่อปรับ Effect แล้วโดยทั่วไป ควรปิดเสียง – เปิดเสียง Effect โดยใช้ Bypass เพื่อฟังทดสอบตอนใช้งานกับตอนไม่ได้ใช้งาน ข้อ 2.หลีกเลี่ยงการใช้ Effectกับเครื่องดนตรีทุกชิ้น หากใช้บ่อยๆไม่ควรเกิน 1 หรือ 2 ถ้าจำเป็น ข้อ 3.การใช้Effectในรูปแบบที่น่าทึ่งนั้นเหมือนละครน้ำเน่าประเภท Drama ถ้าจะใช้มันจริงก็คือใช้เท่าที่จำเป็นและใช้ในห้วงระยะเวลาสั้นๆเอาเฉพาะเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่านั้น สรุปสั้นๆใช้มันให้เหมือนผงชูรสที่ผสมในอาหารนั่นแหละครับ

Effect ของ Lexicon
Effect ของ Lexicon

บทที่ 8 Gating Compression Reverb
Gate
Gate

Gate-Compression-Reverb บทนี้เราจะมาว่ากันเรื่อง Gate (ประตูเสียง) Compression (การบีบอัด) Reverb (เสียงก้องกังวาน) การจัดวางลำดับก่อนหลังทั้งสามตัวควรวางตามตำแหน่งที่กล่าวมาแล้วนั้น Gate จะใช้ประโยชน์สำหรับการตัดสัญญาณรบกวนต่ำ(noise)ในปริมาณที่ไม่พึงประสงค์ หรืออาจจะเป็นเสียงRoom ของห้อง Gate จะทำหน้าที่ปิดGab ช่องว่างระหว่างเสียง อันดับแรกก่อนที่คุณจะใช้ Gate ขอให้พิจารณาใส่ใจในรายละเอียดของหัวข้อต่อไปนี้ก่อนครับ *เราใช้จัดการเสียง noise ที่ไม่พึงประสงค์ *การรบกวนของคลื่นวิทยุ *เสียงสไลด์นิ้วบนคอกีต้าร์ * เสียงลมหายใจของนักร้อง * หางเสียงที่เป็นธรรมชาติจะหายไป ดังนั้นคุณควรคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจใช้ Gate เพื่อจัดการกับเสียงเหล่านั้น และนี่จึงเป็นที่มาขอหัวข้อที่ว่า “ให้หลีกเลี่ยงการใช้ Gate ในการบันทึก” ความไม่แน่นอนของเสียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขณะกำลังบันทึกเสียง เสียงของนักร้องบางครั้งเล่นลากหางเสียงให้ยาวหรือเอื้อนเสียง การตั้ง Gate ในระหว่างการบันทึกสามารถสร้างความเสียหายในขั้นตอนการ Mix ได้ หากจะใช้ Gate จริงๆให้ใช้ตอนที่บันทึกเสียงเรียบร้อยออกมาแล้ว มันจะทำให้เรามีความยืดหยุ่นในการที่จะจัดการกับหางเสียงได้อย่างไม่ห้วนสั้นจนเกินไป ดีกว่าที่เราจะมานั่งบันทึกใหม่อีกหากเราใช้ Gate ตอนขณะที่บันทึกอาจได้หางเสียงไม่เต็มที่ นี่แหละคือเคล็ดลับสำคัญของการใช้ Gate ข้อต่อไปคือ ”ใช้ Gate ก่อน Compresor” ทำไมจึงต้องเป็นอย่างนั้น ก็เพราะการบีบอัดจะช่วยเพิ่มเสียงที่สงบ เพิ่มจนเห็นเสียงที่ชัดเจนขึ้น จะเป็นการดีที่สุดเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการเพิ่มเสียงในระดับต่ำที่ไม่พึงประสงค์ ด้วยการวางประตูเสียง Gate เอาไว้ก่อนหน้า Compressor ซึ่งจะทำให้ปัญหาที่กล่าวมานั้น ไม่เกิดขึ้น หัวข้อต่อไปคือ

Reverb
Reverb

“การวาง Gate ก่อน Reverb” ขึ้นหัวข้อจั่วไว้อย่างนี้เพราะว่า คุณคงไม่ต้องการให้หางเสียงสะท้อน Reverb ตามธรรมชาติขาดหายไปใช่ไหมครับ แน่นอนเลยทีเดียวถ้าหากคุณวางGate ไว้หลัง Reverb สิ่งที่ไม่พึงประสงค์ตามที่กล่าวมาข้างต้นคงต้องเกิดขึ้นแน่นอน หางเสียงสะท้อนจาก Reveb จะขาดหายเนื่องจากวาง Gate เอาไว้หลัง Reverb แต่โลกใบนี้ไม่มีกฎตายตัวครับ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการใส่ Reverb กับกลองเตะ Kick การที่เราจะปล่อยให้เสียงกลองเตะมีหางเสียงยาวๆแบบนั้นมันคงดูไม่น่าฟัง มันจะฟังเหมือนหนังกลองใบนั้นยาน ก็จำเป็นต้องเอา Gate มาวางปิดเสียงไว้ข้างหลัง Reverb อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็ถือว่าเป็นศิลปะการใช้เครื่องมือให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หากจำเป็นก็ต้องแหกกฎบ้าง จริงไหมครับ มีเคล็ดลับอีกนิดหนึ่งก่อนที่เราจะข้ามเรื่องกลองไปในส่วนของ Gate นั้นให้คุณลองตั้งค่าช่วง 12dB สำหรับการเปิด Gate อย่างรวดเร็ว

สรุปข้อแนะนำในหัวข้อนี้คือ

ไม่มีกฏตายตัวว่าต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กล่าวมาแล้วจะอย่างไรก็ดีการวาง Position ของเครื่องมือต่างๆก็ยังคงถือหลักใช้ตามนี้ ส่วนจะพลิกแพลงนอกเหนือจากนี้ก็ทำได้ไม่ว่ากัน ซึ่งก็แล้วแต่ความช่ำชองและประสบการณ์ของ Sound Engineer ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรจากเครื่องมือต่างๆนี้อย่างไร ใช้ทำหน้าที่อะไร และต้องวางอย่างไร กฏมีไว้ให้แหก แต่ก็ควรแหกอย่างมีศิลปะ เท่านั้นเองครับ

บทที่ 9 Even More Volume
Even More Volume
Even More Volume

มีความถี่ในการ Mix บางส่วนที่มีความซ้ำซ้อนกันมากเกินไปและมันทำให้ลำโพงไม่สามารถปลดปล่อยพลังงานออกมาได้เต็มที่ แต่ถ้าเราสามารถเรียกคืนทรัพยากรเหล่านี้อย่างง่ายๆ ลำโพงก็จะมุ่งจดจ่อปลดปล่อยพลังงานของตัวมันเองลงไปในความถี่ที่สำคัญๆ ดังนั้นเราก็จะได้ headroom เพิ่มเติม กล่าวคือได้ปริมาณมากขึ้น (More Volume) แต่กระนั้น พื้นฐานของลำโพงส่วนใหญ่จะไม่สามารถทำซ้ำความถี่บางอย่าง อย่างเช่นถ้ากำลังปล่อยความถี่ปัจจุบันโดยลำโพงกำลังมีภาระผูกพันปลดปล่อยเสียงอยู่แล้วยังพยายามจะปล่อยความถี่อื่นที่ซ้ำๆจะทำให้เกิดการสูญเสียแบนด์วิดธ์ bandwidth การผสม Mix Volume โดยรวมก็จะลดต่ำลงทั้งหมด เพื่อเป็นการลดภาระให้ลำโพงไม่ทำงานหนัก ขอให้จัดการกับเบสก่อนโดย ฆ่าเบสที่ดังก้อง ให้นำเอา high-pass filter กรองเพื่อกำจัดเอาความถี่ที่ต่ำกว่า 40 Hz.ออก บางความเห็นน่าจะ 30-50 Hz. ถ้า 30Hz. ค่อนข้างต่ำ แต่ระบบ PA ทั่วไปในปัจจุบันสามารถปล่อยพลังความถี่นี้ออกมาได้ ถ้าคุณจะคงความถี่นี้ไว้เพื่อเอาสภาพแวดล้อมเข้าไปผสมในเพลงด้วยคุณก็เอาไว้ได้ หากคิดว่ามันจำเป็น หูมนุษย์นั้นรับความถี่ได้จาก 20Hz.-20kHz. ความถี่ที่ต่ำกว่า 80Hz.ลงมามันจะทำให้สิ่งของรอบๆกายเราเกิดแรงกระเพื่อม ถ้าตั้งแก้วน้ำไว้จะเห็นได้ชัดเจน แต่ถ้าถามว่า ความถี่ต่ำลงมาขนาดนี้มีโน้ตในเครื่องดนตรีหรือไม่ ไม่เลยครับ มันเป็นเสียง Ambient มากกว่า แต่ก็มีข้อยกเว้นเช่นกันครับ ไม่มีกฎตายตัวอีกเช่นเคย เพลงบางสไตล์เขาก็ต้องการความถี่ต่ำอย่างเช่น เพลงแด็นซ์ Hiphop เหล่านี้จะใช้ประโยชน์จากความถี่ต่ำเพื่อขับลำโพงประเภทซัปวูฟเฟอร์ ยิ่งต่ำยิ่งดี เน้นเบสกระแทกอกไว้ก่อน ส่วนความถี่ระดับกลางและความถี่สูง Mid and High-Frequency Range นี่ถือว่าภาคผนวกสำหรับการพิจารณาของคุณในบทนี้ เครื่องมือหรือ Instruments บางตัว อาจเปล่งความถี่ที่ไม่จำเป็นในการ Mix ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจมี Instruments ( A ) ยึดครองพื้นที่ Mid – range ซึ่งมีปลายความถี่ต่ำซึ่งไม่เคยได้ยินในการ Mix แต่กระนั้น ก็ยังคงใช้พลังงานในการตัดพื้นที่เสียงเบสดังกล่าว เปรียบเสมือนกับองค์ประกอบที่สำคัญของความถี่ใน Track ของคุณด้วย ความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายที่ดีที่สุดคือ ไปพักผ่อนซัก 2 -3 วันเพื่อพักหูแล้วกลับมายืนที่จุดนี้ใหม่อีกครั้ง ผมเองก็รู้ว่าการเป็นนักดนตรีนั้น เราชอบที่จะให้ได้ยินเสียงดนตรีแบบ Full Dynamic เต็มอิ่มกับการผสมทุกอย่างลงไป เมื่อเราปรับแต่งอิมเมจระยะพื้นเวที เราจะต้องใช้หูฟังอย่างมีสมาธิคนเดียว ความเป็นธรรมชาติ คือบริบทที่เราจะต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกของการ Mix เช่นนักดนตรีแต่ละคนอยู่ตรงไหน และจงอย่าลืมว่าการ Mix ในบางช่วงความถี่เหล่านั้น อาจทำให้เรา ( เบลอ ) โดยเฉพาะพวก Instruments ต่างๆ บางครั้ง Instruments เหล่านั้นก็ไม่จำเป็นในบทเพลง มันเป็นเรื่องง่ายที่เราจะ Mix ให้จบงานได้เร็วๆเป็นการย่นระยะเวลาเพียงแค่เอาออก หรือหากจะใช้ Instrumentsเหล่านั้น ก็ให้พิจารณาใช้ตัวกรอง Filter เพื่อลบความถี่ที่ไม่จำเป็นในการ Mix ภาพข้างล่างเป็นการอธิบายความถี่ของเครื่องดนตรีประเภทต่างๆ

Frequency Ranges
Frequency Ranges

บทที่ 10 Mixing with Headphones
หูฟัง
หูฟัง

การผสมกับหูฟัง ฟังดูแล้วฟังออกมาไพเราะมาก แต่พอเอามาเป็นฟังกับเครื่องเสียงกลับฟังไม่ได้เลย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? นี่คือเทคนิคสุดท้าย เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด ดั่งหัวข้อที่ว่าเอาไว้ การ Mix กับหูฟัง ? อย่าทำเป็นอันขาด ! ถ้าคุณไม่เคยทดสอบ ! Headphones หรือที่เราเรียกกันว่าหูฟัง วันนี้มาในรูปแบบต่างๆ เช่น แบบเปิด – แบบกึ่งปิดกึ่งเปิด (สตูดิโอ) ฯลฯ แต่ละแบบมีการใช้งานต่างกันไปแต่ไม่ใช่สำหรับการ Mix หนึ่งในปัญหาสำคัญที่คุณจะต้องพบในการมิกซ์คือ การส่าย Pan สมมุติว่าคุณต้องการที่จะ Pan ส่าย Hi-hat กวาดไปทางซ้าย เมื่อมีการกระทำดั่งเช่นที่ว่านั้นแล้วคุณลด Fader ลงเพื่อให้มันฟังดูว่าไกลออกไปในการมิกซ์ หลังจากนั้นสองสามชั่วโมงต่อมาคุณกลับมานั่งมิกซ์โดยฟังผ่านลำโพง Monitor คุณกลับไม่สามารถได้ยินเสียง Hi-hat กับหูฟังคุณจะเห็นเสียงอย่างชัดเจนเข้าถึงโสตประสาทโดยลำโพงขนาดเล็ก ได้ยินดังชัดเจนทุกช่วงความถี่ที่สำคัญแม้ช่วงความถี่ที่ไม่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับความถี่ช่วงเสียงเบส (ลำโพงหูฟังเล็กมากจนตอบสนองย่านนี้ไม่ได้ดีนัก) นอกเหนือจากนี้การใช้หูฟังก็มีเป็นบางจุดบางประเด็นที่ต้องศึกษา หูฟังจะมีประโยชน์มากจริงๆเมื่อเราเอามาใช้สำหรับการซูม Zoom in ในการแก้ไขปัญหาส่วนประกอบของธรรมชาติ (เสียง Room) เช่นจับเสียง Ambience (บรรยากาศ)หรือเสียงที่ยากจะได้ยินที่มาจากการบันทึกเสียง หรือ out-of-tune (or out-of-time) notes เพียงแต่ต้องระลึกไว้ว่าจะต้องถอดหูฟังทันทีหลังจากที่ไม่ได้ใช้ปรับระดับlevels กับการมิกซ์

สรุปหัวข้อสุดท้ายนี้คือ

ใช้หูฟังเฉพาะเพียงเพื่อฟังจับเสียงที่ยากต่อการได้ยิน เพื่อที่เราจะได้กำจัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากบทเพลง แต่อย่าใช้หูฟังเพื่อการมิกซ์เพลงเพราะเราจะได้ยินเสียงประเภท Hi-hat ดังชัดเป็นพิเศษ ส่วนเสียงเบสในย่านความถี่ต่ำเราจะไม่ค่อยไ้ด้รับความถี่นี้เต็มที่เพราะโครงสร้างของลำโพงหูฟังไม่สามารถตอบสนองความถี่เสียงเบสได้ดี

Bye

สุดท้ายก่อนจบ
ขอฝากเทคนิคต่างๆเหล่านี้ ซึ่งเป็นเกล็ดเล็กน้อยที่ผ่านประสบการณ์การทดลอง-ทดสอบจนเอามาเล่าสู่กันฟัง อย่างไรก็ดีการฝึกฝนตนเองต่างหากจะช่วยให้พัฒนาทักษะต่างๆให้รุดหน้าจนสามารถผลักดันตัวเองให้ก้าวขึ้นไปสู่มืออาชีพต่อไปในอนาคต




anan-58      8 ส.ค. 58   เวลา 23:30:00       พิมพ์   แจ้งลบ      IP = 171.7.60.17
 


  คำตอบที่ 1  
 
5555 ไม่รู้ จะเยอะ ขนาดนี้ ขี้เกลียด อ่านเหมือนกัน 5555

   anan-58      8 ส.ค. 58   เวลา 23:32:00    IP = 171.7.60.17
 


  คำตอบที่ 2  
 

๕๕๕
ขอบคุณมากครับพี่

   สมาชิกแบบพิเศษ      ชิตชัย      8 ส.ค. 58   เวลา 23:38:00    IP = 171.5.250.219
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 3  
 
ขอบคุณครับ มีประโยชน์มากครับ สำหรับมือใหม่

   สมาชิกแบบพิเศษ      peter1150      9 ส.ค. 58   เวลา 0:24:00    IP = 27.55.225.149
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 4  
 
เยี่ยมเลย

   พ่อลูก1      9 ส.ค. 58   เวลา 0:37:00    IP = 58.8.187.158
 


  คำตอบที่ 5  
 
AV.



(แปะ)

   jaojor      9 ส.ค. 58   เวลา 3:10:00    IP = 124.121.3.51
 


  คำตอบที่ 6  
 
ขอบคุณ คุณ อนันต์ -58 อย่างมากครับ
..
เวลาผมใช้งาน ผมจะบอกทุกคนว่า ได้เทคนิค จาก Internet/GuitarThai ..โดยคุณ anan-58..
..
ธรรมรัตน์

   thamrat_P  9 ส.ค. 58   เวลา 9:08:00    IP = 180.180.179.135
 


  คำตอบที่ 7  
 
ความรู้ขั้นเทพเลยพี่ใช้ได้จริงๆด้วย โดยเฉพาะเสียงร้องน่ะโมโนอย่างเดียวเลยถึงจะเยี่ยม

   solotheson      9 ส.ค. 58   เวลา 10:09:00    IP = 49.230.198.167
 


  คำตอบที่ 8  
 
ว่าที่กระทู้ในตำนาน



   donraemo      9 ส.ค. 58   เวลา 16:32:00    IP = 171.101.3.206
 


  คำตอบที่ 9  
 
http://payakstudio.com/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/

ใส่ที่มาซักหน่อยก็ดีนะครับ ด้วยความเคารพ

   กีต้าร์ เบอร์ดี้      9 ส.ค. 58   เวลา 17:16:00    IP = 125.26.151.213
 


  คำตอบที่ 10  
 
คต. 1

ยืนยันได้ครับ คุณ กีต้าร์ เบอร์ดี้

ที่มา จาก facebook ครับ http://payakstudio.com/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87-10/

ที่แรก ผมก็ทำอย่างนี้ ครับ มันดูไม่ดี จึง copy แต่เนื้อหาครับ

ไม่ได้มี เจตนา แอบอ้าง แต่ประการใดครับ ดูได้จาก คลิป เก่าๆ ของผม เสียงห่วยแตกมากครับ 55555

   anan-58      9 ส.ค. 58   เวลา 17:43:00    IP = 14.207.233.201
 


  คำตอบที่ 11  
 
ขอบคุณครับ

   johnny guitar      9 ส.ค. 58   เวลา 22:04:00    IP = 58.11.218.71
 


  คำตอบที่ 12  
 
เยี่ยมเลยครับ ขอบคุณครับเอาไปเพิ่มการมั่วของผมได้ อิอิ

   suradet      10 ส.ค. 58   เวลา 0:11:00    IP = 124.122.91.155
 


  คำตอบที่ 13  
 
แปะ

   dTT      10 ส.ค. 58   เวลา 0:44:00    IP = 61.90.6.158
 


  คำตอบที่ 14  
 
ขอบคุณครับ


   eid_guitar  10 ส.ค. 58   เวลา 13:10:00    IP = 171.6.150.122
 


  คำตอบที่ 15  
 
บทความดีครับ ใครอยากดูรูปประกอบ ตามลิงค์ได้เลยครับ

http://payakstudio.com/เคล็ดลับการมิกซ์เสียง-10/

   OrbLink      10 ส.ค. 58   เวลา 18:03:00    IP = 110.168.229.34
 


  คำตอบที่ 16  
 
ขอบคุณครับ


   สมาชิกแบบพิเศษ      ohmx      10 ส.ค. 58   เวลา 21:37:00    IP = 1.46.166.239
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 17  
 
ขอบคุณครับ

   กีตาร์เลือด      13 ก.ย. 61   เวลา 8:39:00    IP = 223.24.191.1
 
 

Bigtone.in.th Online Music Store

Yamaha



ตั้งกระทู้ Login ก่อน Click ที่นี่
ผู้ตอบ :
รูปภาพ:  ( ไม่เกิน 150 K )
ข้อความ :
 

any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket